
สุรินทร์เป็นจังหวัดแรกของไทยที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 ประกาศให้เป็น “จังหวัดต้นแบบนำร่องด้านการพัฒนาเกษตรอินทรีย์” หลังจากนั้นอีก 2 ปี ในวันที่ 19 เมษายน 2546 ตลาดสีเขียวหรือตลาดเขียวแห่งแรกของภาคอีสานก็เกิดขึ้นที่นี่ ณ เวทีผไทสราญ บริเวณสวนรัก สวนสาธารณะข้างวัดจุมพล เทศบาลเมืองสุรินทร์
ในรายงาน “ถอดบทเรียนพัฒนาการเครือข่ายตลาดสีเขียวประเทศไทย” ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ มกย. ได้ระบุไว้ในส่วนกรณีศึกษาตลาดเขียวจังหวัดสุรินทร์ ว่า พัฒนาการการต่อสู้เพื่ออธิปไตยทางอาหารตลอดช่วงอายุ 20 ปีของตลาดเขียวสุรินทร์นั้น เต็มไปด้วยความท้าทาย กว่าที่จะเป็น “ตลาดนัดสีเขียว สุรินทร์ใจดีออร์แกนิค” ที่เห็นทุกวันนี้
พัฒนาการที่เต็มไปด้วยความท้าทาย
ตลาดเขียวสุรินทร์เกิดขึ้นจากความร่วมมือของเครือข่ายภาคประชาสังคม เกษตรกร หน่วยงานเอกชน และภาครัฐ โดยมีกลุ่มสุรินทร์เสวนาและมูลนิธิชุมชนเกษตรนิเวศน์เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันสร้างตลาดทางเลือกสำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ และมุ่งมั่นที่จะสร้างพื้นที่ขายที่ยุติธรรม ดังนั้นจึงทำให้ตลาดเกิดขึ้น ถึงแม้ว่ามีเสียงคัดค้านจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ก็ตาม
หลังพ้นช่วงเวลาก่อตั้ง 5 ปีแรก ระหว่างปี 2551-2562 เป็นช่วงที่ตลาดย้ายไปอยู่ที่ใหม่บริเวณหน้าสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุรินทร์ ในช่วงนั้นตลาดได้รับการยอมรับจากภาครัฐมากขึ้น และยังเป็นช่วงที่ตลาดขยายตัวจากผู้ค้า 42 ราย เป็น 87 ราย มีการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดกรองผู้ขายที่ชัดเจนขึ้นตามนโยบาย “สุรินทร์เมืองต้นแบบเกษตรอินทรีย์” ทั้งยังมีการขยายสาขาของตลาดออกไป เช่น “ตลาดกรีน ม.” ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัย
จนกระทั่งในปี 2562 ถือเป็นช่วงที่ตลาดเติบโตและเผชิญกับความท้าทายอีกครั้ง เมื่อตลาดต้องย้ายไปอยู่ที่สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถึงแม้พื้นที่กว้างขวางขึ้น แต่ อบจ. มีการอนุญาตให้พ่อค้าทั่วไปนำสินค้าวางขายในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ทำให้เกิดความสับสนในหมู่ผู้บริโภคต่อมาตรฐานของสินค้าเกษตรอินทรีย์ และความเป็น “ตลาดเขียว” ขาดความชัดเจน
จากนั้นในปี 2563- 2565 ตลาดต้องหยุดดำเนินการชั่วคราวในช่วงล็อกดาวน์จากวิกฤตโควิด-19 ทำให้เกิดการปรับตัวหันมาใช้ช่องทางในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อขายสินค้า เช่น Facebook และ Line พร้อมกับได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานท้องถิ่นจัดทำถุงยังชีพสีเขียว ซึ่งช่วยให้ผู้ผลิตมีรายได้ โดยที่ผู้บริโภคก็ได้รับอาหารปลอดภัย
หลังจากที่ต้องเผชิญปัญหาความสับสนจากตลาดเดิมที่สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ในปี 2566 เกษตรกรผู้ค้าประมาณ 20 รายที่ยึดมั่นหลักการเกษตรอินทรีย์ก็ได้ร่วมกันทำให้ความเป็น “ตลาดเขียว” กลับมาชัดเจนอีกครั้ง ด้วยการร่วมกันเปิดตลาดเขียวแห่งใหม่บริเวณที่ว่าการอำเภอเมืองสุรินทร์ โดยใช้ชื่อ “ตลาดนัดสีเขียว สุรินทร์ใจดี ออร์แกนิค” เป็นตลาดที่เน้นการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค และเสริมด้วยกิจกรรมเพื่อดึงดูดผู้คน
“ตลาดนัดสีเขียวสุรินทร์ ใจดี ออร์แกนิค” จึงเป็นต้นแบบของตลาดที่กลับมาเน้นอัตลักษณ์และคุณภาพอย่างแท้จริงอีกครั้งหนึ่ง จนถึงปัจจุบัน


จุดเด่นและจุดอ่อนของตลาดเขียวสุรินทร์
การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายต่าง ๆ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดของตลาดเขียวสุรินทร์ ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาสังคม หรือภาครัฐ เช่น อบจ. และสำนักงานเกษตรจังหวัด แม้มีความขัดแย้งช่วงก่อตั้ง ในเวลาต่อมาก็เริ่มให้การสนับสนุนและใช้คำว่าตลาดนัดสีเขียวอย่างเป็นทางการตามนโยบายของจังหวัด ขณะที่สถาบันการศึกษา เช่นมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เริ่มให้ความสนใจและศึกษาวิจัยเกี่ยวกับตลาดในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ได้รับการยอมรับทางวิชาการ
ตามรายงานถอดบทเรียนฯ ได้สรุปเอาไว้ว่า แรงขับเคลื่อนพัฒนาการของตลาดเขียวสุรินทร์แต่ละช่วงเวลาเกิดจาก หลายปัจจัย ซึ่งมากกว่าเรื่องของผลกำไร เช่น ในทางเศรษฐกิจถือเป็นการช่วยให้ผู้ผลิตขายสินค้าได้ในราคาที่เป็นธรรมโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง และค่าเช่าแผงค้าต่ำ ทำให้ต้นทุนขายไม่สูง ในทางสังคมถือเป็นพื้นที่สร้างความสัมพันธ์แบบเครือญาติ ระหว่างผู้ค้าและผู้บริโภค สร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน รวมทั้งพื้นที่เรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน และในทางอุดมการณ์ ผู้ค้าหลายรายเคยทำการเกษตรใช้สารเคมีมาก่อน ทำให้ตระหนักถึงผลเสียต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และต้องการผลักดันวิถีเกษตรอินทรีย์เพื่อสร้างอาหารปลอดภัยและระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม
ส่วนในมุมมองของผู้ค้าระบุว่า ตลาดเขียวสุรินทร์มีจุดเด่นที่สำคัญคือคุณภาพสินค้า ซึ่งผู้ค้าปลูกเอง ดังนั้นจึงเป็นสินค้าอินทรีย์ 100% ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพ
นอกจากนั้น บรรยากาศของตลาดมีความเป็นกันเองเหมือนครอบครัว ผู้ค้าและผู้บริโภคมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและไว้วางใจกัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ดี การใช้ภาชนะบรรจุภัณฑ์ของท้องถิ่น การจัดกิจกรรมเสริมที่สะท้อนถึงวัฒนธรรม ซึ่งถือเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่น เช่น การตักบาตร และเทศกาลอาหารพื้นถิ่น สุดท้ายคือ ความยั่งยืน เป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรอินทรีย์มากขึ้น เนื่องจากมีช่องทางการขายรองรับผลผลิตที่ชัดเจน
ขณะที่จุดอ่อนก็มีอยู่ นั่นคือการมีฐานลูกค้าจำกัดและเป็นกลุ่มเดิม ๆ ที่รักสุขภาพและอยู่ในเมือง ไม่สามารถขยายสู่ประชาชนทั่วไปได้มากนัก อีกทั้งสินค้าไม่หลากหลายและมีความซ้ำกัน เนื่องจากผู้ค้าหลายรายขายสินค้าประเภทเดียวกัน ทั้งยังขาดมีปัญหาเรื่องความไม่สม่ำเสมอ มีผู้ค้าบางรายไม่มาขายของอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าประจำอาจไม่มั่นใจ
และจุดอ่อนใหญ่ที่สุดคือเรื่องความไม่แน่นอนของพื้นที่ขาย โดยในระยะประมาณ 20 ปีที่ผ่านมาต้องย้ายตลาดถึง 4 ครั้ง สร้างความไม่มั่นคงและส่งผลต่อความเชื่อมั่น ทั้งของผู้ค้าและผู้บริโภค
สำหรับแนวทางแก้ไขนั้น ทางผู้ค้าเสนอให้มุ่งเน้นขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ผ่านการประชาสัมพันธ์และจัดกิจกรรมเชิงรุก ส่งเสริมความหลากหลายของสินค้า สร้างความสม่ำเสมอของผู้ค้า และที่สำคัญที่สุดคือ ภาครัฐควรสนับสนุนพื้นที่ตั้งของตลาดที่ถาวรและมั่นคง เพื่อจะช่วยให้ตลาดเติบโตอย่างยั่งยืน


ชัยชนะและการพัฒนาที่ควรดำเนินต่อไป
แม้ตลอดระยะเวลา 20 ปีแห่งพัฒนาการของตลาดเขียวสุรินทร์มีความไม่ราบรื่น และเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่การย้ายตลาดถึง 4 ครั้ง โดยที่ตลาดยังคงอยู่ สะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้เพื่อรักษาอุดมการณ์ที่มั่นคง อย่างน้อยในส่วนของสมาชิก 20 คนที่ตัดสินใจแยกตัวออกมาจากตลาดเดิมที่เริ่มมีสินค้าทั่วไปเข้ามาปะปน และย้ายไปตั้งตลาดเขียวแห่งใหม่ ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองสุรินทร์
ความสำเร็จจากการที่สามารถจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อการดำรงอยู่ของตลาด ถือเป็นชัยชนะจากการเจรจาสร้างข้อตกลงที่ชัดเจนกับภาครัฐ ในขณะที่การยึดมั่นในมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อย่างเคร่งครัดก็สะท้อนถึงการปกป้องอธิปไตยทางอาหารของตนเองอย่างเด็ดเดี่ยว เพื่อไม่ให้ตลาดสูญเสียอัตลักษณ์และคุณค่าที่แท้จริงไป
ในรายงานถอดบทเรียนฯ ยังได้สรุปข้อเสนอเพื่อให้การดำเนินกิจกรรมของตลาดเขียวสุรินทร์ไปต่อได้ ว่าจำเป็นต้องบริหารจัดการกับความท้าทายหลัก ได้แก่เรื่อง 1) พื้นที่และความมั่นคง ซึ่งปัจจุบันนยังต้องพึ่งพาพื้นที่ของหน่วยงานรัฐ ทำให้ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย ดังที่เกิดขึ้นตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา 2) การประสัมพันธ์ให้ทั่วถึงและสม่ำเสมอ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้เข้าถึงประชาชนทั่วไป และทำให้ตลาดเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น 3) การจัดการและศักยภาพผู้ค้า นับตั้งแต่เรื่องการมาขายให้สม่ำเสมอ จนถึงการเพิ่มทักษะด้านการตลาดและการแปรรูปสินค้า ทั้งนี้ เนื่องจากมีผู้ค้าหลายคนที่ยังขาดทักษะการสื่อสาร การตลาด การออกแบบบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการแปรรูปสินค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มมูลค่าและสร้างความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์




ก้าวต่อไปของตลาดเขียวสุรินทร์
ในรายงานการถอดบทเรียนฯ ยังมีข้อเสนอแนะต่อแนวทางสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนภายในเครือข่ายตลาดเขียวสุรินทร์ สรุปได้ดังนี้
- การเสริมสร้างความเข้มแข็งของสมาชิกเครือข่าย โดยเน้นการพัฒนาบุคลากรในเครือข่าย ได้แก่
- การพัฒนาศักยภาพผู้ผลิต โดยจัดอบรมอย่างต่อเนื่องด้านการตลาดดิจิทัล การจัดการบัญชีให้สามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรวมกลุ่มเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและจัดการผลผลิตส่วนเกิน
- การขยายฐานผู้บริโภค ทำตลาดเชิงรุก โดยการจัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องอาหารปลอดภัยในโรงเรียนและหน่วยงานราชการ การใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น และสร้างความเข้าใจในคุณค่าของสินค้า ช่วยให้ผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายในราคาสูงขึ้น เป็นต้น
- ประสานงานกับภาครัฐในการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อผลักดันให้เกิดนโยบายสนับสนุนตลาดทางเลือกอย่างเป็นทางการและต่อเนื่อง เช่น จัดสรรพื้นที่ที่มั่นคงถาวรให้เป็นทรัพย์สินชุมชน หรืออุดหนุนงบประมาณสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ของตลาด
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพ โดยที่เน้นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน อุดมการณ์ และมาตรฐานที่จะใช้ขับเคลื่อนกิจกรรมในอนาคตของเครือข่ายตลาดเขียวสุรินทร์ ได้แก่
– ยกระดับมาตรฐานสินค้าเพิ่มจากเดิมที่มีการรับรองมาตรฐาน มกท. โดยการสร้างการรับรองแบบมีส่วนร่วม (PGS) ที่เข้มข้นยิ่งขึ้น นั่นคือ ให้ผู้บริโภคและชุมชนมีส่วนร่วมตรวจสอบคุณภาพสินค้า เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและสร้างความผูกพันกับเครือข่าย เช่น พัฒนาฉลากสินค้าที่มีคิวอาร์โค้ด เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถสแกนและเข้าถึงข้อมูลการผลิตของผู้ขายแต่ละรายได้ทันที เช่น ที่ตั้งแปลงเกษตร ประวัติผู้ผลิต หรือวิธีการทำเกษตร
– สร้างตราสินค้าและอัตลักษณ์ของตลาด เพื่อให้สินค้ามีความโดดเด่นและสร้างคุณค่าเพิ่ม ตัวอย่างเช่น สนับสนุนการออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์ต้นแบบจากวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น ใบตอง ตอกไม้ไผ่ หรือกระดาษรีไซเคิล ซึ่งมีต้นทุนไม่สูง และผู้ค้าสามารถนำไปใช้ได้ง่าย หรือการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการใช้บรรจุภัณฑ์หมุนเวียน เช่น ถุงผ้าหรือตะกร้า เพื่อให้ผู้ค้าและผู้บริโภคสามารถยืมหรือแลกเปลี่ยนกันได้ ช่วยลดการใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งใช้เรื่องราวของผู้ผลิตและภูมิปัญญาท้องถิ่นสร้างเรื่องเล่าที่น่าสนใจ
– การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีพื้นที่ตลาดถาวร มีโรงเรือนกันแดดกันฝน มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียงพอที่จะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับผู้ค้า และทำให้ตลาดสามารถเปิดได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดให้ผู้บริโภคกลับมา ตัวอย่างเช่น การออกแบบพื้นที่ตลาดให้มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและรองรับกิจกรรมที่หลากหลายนอกเหนือจากแผงค้า เช่น เวทีขนาดเล็กรองรับกิจกรรม พื้นที่สำหรับเวิร์กชอป และพื้นที่สำหรับนั่งเล่นของผู้บริโภค
- สร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงและพึ่งพาอาศัยกัน โดยเน้นการพัฒนาระบบความสัมพันธ์ในเครือข่ายตลาดเขียวสุรินทร์ ตั้งแต่การสร้างความหลากหลายของสินค้า ในการส่งเสริมให้ผู้ผลิตปลูกพืชผักหลากหลายชนิดมากขึ้น เพื่อลดสินค้าที่ซ้ำกัน รวมถึงส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตเพื่อสร้างมูลค่าและแก้ปัญหาสินค้าล้นตลาด ตลอดจนจัดกิจกรรมที่สร้างความผูกพันเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เช่น เทศกาลอาหารพื้นถิ่น เวิร์กชอปการทำเกษตรอินทรีย์ หรือทัศนศึกษาแปลงเกษตรสมาชิกเพื่อสร้างความผูกพันและเป็นศูนย์กลางของชุมชน


ทั้งนี้ ในการสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนของตลาดเขียวสุรินทร์ มีข้อเสนอในภาพใหญ่ว่าจำเป็นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของทุกตัวแสดงในเครือข่ายอย่างมีระบบ เพื่อเป้าหมายในการสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นที่เข้มแข็งควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมชุมชนอย่างยั่งยืน ไปด้วยกัน