โทรศัพท์

096 948 1913

อีเมล์

sathaiaan@gmail.com

เวลาเปิด

จันทร์ - ศุกร์: 9:00 - 17:00

หากเทียบกับตลาดทั่วไป “ตลาดสีเขียวโขงชีมูล” หรือ “ตลาดเกษตรกรจังหวัดยโสธร” ถือว่าค่อนข้างกระทัดรัด แต่หากเทียบกับตลาดเขียวที่เปิดเป็นประจำตามจังหวัดต่าง ๆ ตลาดซึ่งตั้งอยู่ภายในรั้วศาลากลางจังหวัดแห่งนี้นับได้ว่ามีลักษณะ “เป็นเรื่องเป็นราว” อยู่มากทีเดียว และขนาดของตลาดก็สามารถขยายตัวได้ด้วย

เนื่องจากไม่ได้มีเพียงพื้นที่ภายใต้โครงสร้างที่มีหลังคาและแผงถาวรเท่านั้น หากแต่ยังมีลานกว้างกลางแจ้งที่เปิดให้ตั้งโต๊ะเปิดร้านเพิ่มเติมได้ หรือแม้กระทั่งนำรถเข้ามาจอดเปิดท้ายขายก็ยังได้

นั่นคือจุดแข็งที่ชัดเจนของตลาดเขียวยโสธรที่เกิดจากการได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ ตั้งแต่เรื่องสถานที่ตั้งของตลาด การพัฒนาโครงสร้าง/สิ่งอำนวยความสะดวก การจัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ การประชาสัมพันธ์ ตลอดจนการจัดงานและจัดกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนต่าง ๆ

โครงสร้างดี สินค้าละลานตา

นอกจากที่ตั้งของตลาดแห่งนี้จะถือว่าอยู่ในทำเลที่ดี การเดินทางสะดวก ทำให้กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงเข้าถึงได้ง่าย ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานของตลาดที่มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เช่น การทำหลังคาถาวร การอยู่ในรั้วสถานที่ราชการ และสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของศูนย์โอทอป ก็เอื้ออำนวยให้การค้าขายสะดวกในทุกสภาพอากาศ มีความปลอดภัย และมีความสะดวกสบาย

อีกทั้งด้วยการมีพื้นที่โล่งกว้างอยู่ด้านหน้า ยังทำให้เกิดความยืดหยุ่น เปิดให้พ่อค้าแม่ขายที่ไม่ใช่เจ้าประจำเข้ามาร่วมค้าด้วยได้ ทั้งยังรองรับลูกค้าได้จำนวนมาก

ความหลากหลายของสินค้าถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของตลาด การมีสินค้าให้เลือกมากมาย ทั้งผัก-ผลไม้พื้นบ้าน ผลผลิตจากธรรมชาติตามฤดูกาล รวมถึงอาหารแปรรูปจากเกษตรกรหลายกลุ่ม ทั้งคาวและหวาน ก็ทำให้ตลาดมีเอกลักษณ์และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย

และด้วยราคาขายที่ค่อนข้างจะย่อมเยาว์ ตลาดเขียวยโสธรจึงมีเสน่ห์ดึงดูดในตัวเอง ในขณะที่ลูกค้าประจำให้ความเชื่อถือและไว้วางใจ ลูกค้าขาจรก็มักอดไม่ได้ที่จะอุดหนุน เนื่องจากได้พบเจอสินค้าถูกใจ หรือแปลกใหม่ ในราคาที่ยากปฏิเสธ

แต่กว่าที่ตลาดเขียวยโสธรจะก้าวมาถึงจุดที่ค่อนข้างมีความมั่นคงในการดำรงอยู่ พร้อมทั้งมีศักยภาพที่จะพัฒนาต่อไป ในวาระเริ่มต้นนั้นก็ได้ผ่านสภาวะลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาไม่ใช่น้อย

ตั้งต้นด้วยอุดมการณ์ชัดเจนในพื้นที่ต้นแบบ

บ้านนาโส่ อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร ได้ชื่อว่าชุมชนเกษตรอินทรีย์ยุคแรก ๆ ของภาคอีสานที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากกลุ่มเกษตรอินทรีย์จังหวัดสุรินทร์ โดยที่มีการพัฒนาต่อมาอย่างค่อนข้างเข้มข้น ตลอดจนขยายตัวไปในหลากหลายมิติ

ชุมชนที่นั่นเรียนรู้จักการพึ่งพาตนเองเพื่อสร้างอธิปไตยทางอาหารมานานแล้ว นับตั้งแต่ปี 2533 ที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์อย่างจริงจัง มีการรวมกลุ่มกันตั้งโรงสีข้าวชุมชน ชมรมรักษ์ธรรมชาติ เพื่อผลิตข้าวอินทรีย์ขายทั้งในและต่างประเทศ ก่อนขยายพื้นที่ปลูกไปยังชุมชนอื่น ๆ ด้วย

จากนั้นอีก 10 ปีต่อมายังรวมกลุ่มกันสร้างระบบเงินตราท้องถิ่น หรือที่รู้จักกันว่า “เบี้ยกุดชุม” สำหรับใช้แลกเปลี่ยนเฉพาะผลผลิตและบริการภายในชุมชน ด้วยจุดประสงค์หวังแก้ปัญหาเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนจากการที่สินค้าเกษตรอินทรีย์ถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง จึงสร้างกลไกให้การกำหนดราคาขึ้นอยู่กับสมาชิกกลุ่มที่จะทำข้อตกลงร่วมกัน

และในช่วงระยะเวลาเดียวกัน นั่นคือในปี 2544 เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกยโสธรและแกนนำกลุ่มเกษตรอินทรีย์ก็ได้ร่วมกันบุกเบิกตลาดเขียวยโสธร เพื่อเป็นตลาดทางเลือกให้กับชาวยโสธร

อย่างไรก็ตาม สำหรับเบี้ยกุดชุมมีเหตุให้ต้องระงับใช้ในเวลาต่อมา ภายหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาท้วงติง และกฤษฎีกามีคำวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำที่ต้องห้ามตามมาตรา 9 ของพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ส่วนตลาดเขียวยโสธรซึ่งก่อตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกในอำเภอกุดชุม บริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรกุดชุมนั้นดำเนินการได้เพียงประมาณ 2 ปีก็เป็นอันต้องยุติลง

เหตุที่มาของความล้มเหลว

สาเหตุที่ความพยายามดำเนินการตลาดเขียวยโสธร ณ กุดชุม ต้องยุติลง จากผลการศึกษาตามรายงาน “ถอดบทเรียนพัฒนาการเครือข่ายตลาดสีเขียวประเทศไทย” กรณีศึกษาตลาดเขียวจังหวัดยโสธร ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ มกย. ระบุว่า สาเหตุหลักมาจากการขาดการบริหารจัดการผลผลิตเพื่อตอบสนองตลาด

ตลาดที่กุดชุมมีผลผลิตจำหน่ายค่อนข้างจำกัด ทั้งเชิงปริมาณและความหลากชนิด เนื่องจากเกษตรกรมักนำผลผลิตที่เหลือจากการบริโภคในครัวเรือนมาจำหน่าย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผักสดที่ไม่มีความหลากหลาย ไม่มีผลผลิตประเภทโปรตีนและอาหารแปรรูป ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค

นอกจากนั้นตลาดยังขาดความต่อเนื่องในการจำหน่าย เนื่องจากพื้นฐานของแม่ค้า-พ่อค้าในตลาดคือเกษตรกรที่ใช้พื้นที่นาปลูกผักหลังฤดูเก็บเกี่ยว เมื่อถึงฤดูกาลทำนาจึงไม่มีผลผลิตออกมาจำหน่าย ตลาดจึงขาดความสม่ำเสมอ อีกทั้งกลุ่มลูกค้าเป็นลูกค้าเฉพาะ ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกโรงสีข้าวชมรมรักษ์ธรรมชาติ ซึ่งเข้าใจคุณค่าของผลผลิตอินทรีย์อยู่แล้ว ในขณะที่ผู้บริโภคทั่วไปยังขาดความตระหนักถึงอันตรายของสารเคมีตกค้างในผลผลิต ทำให้ตลาดไม่เป็นที่สนใจเท่าที่ควร

จากบทเรียนที่ได้รับจากการดำเนินการตลาดเขียวในช่วง 2 ปีแรกนี้เอง ได้ถูกนำมาใช้เป็นแนวทางในการจัดตั้งตลาดนัดสีเขียวแห่งใหม่และพัฒนามาจนเป็นตลาดเขียวยโสธรในปัจจุบัน

พัฒนาบนฐานประสบการณ์

รายงานการถอดบทเรียนเรื่องตลาดเขียว กล่าวถึงกรณีของตลาดเขียวจังหวัดยโสธรไว้ว่า พัฒนาการของตลาดแห่งนี้เป็นกระบวนการที่เกิดจากการเรียนรู้ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากจุดเริ่มต้นที่ล้มเหลว สู่การสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง ผ่านการสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์กับผู้บริโภค จนสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยการสนับสนุนด้านนโยบายจากภาครัฐ และการบริหารจัดการตลาดที่มีการปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง กระทั่งกลายเป็นตลาดหลักที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ปี 2551 เป็นปีที่เครือข่ายตลาดเขียวในอำเภอกุดชุมย้ายไปอยู่ในตัวเมืองยโสธร บริเวณหอนาฬิกาหรือศูนย์โอทอป ภายในบริเวณศาลาการจังหวัดยโสธร ตลาดเขียวบนพื้นที่ใหม่มีการวางแผนรอบคอบมากขึ้นทั้งในด้านการผลิต การจัดการ และการตลาด จากการใช้บทเรียนในอดีต ทำให้ตลาดประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างต่อเนื่อง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน 3 ด้าน คือ

1. การกำหนดระบบการผลิตของตนเอง: มีการวางแผนการผลิตที่หลากหลายมากขึ้น และขยายการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น เริ่มปลูกผักพื้นบ้านหลายชนิดที่ไม่มีในตลาดทั่วไป อาทิ ผักหวานป่า ผักขะแยง รวมถึงการผลิตอาหารแปรรูปเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค เช่น กล้วยฉาบ ข้าวแต๋น ขนมหอใบตองชนิดต่าง ๆ

2. การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค: มีการจัดกิจกรรมให้ผู้บริโภคเยี่ยมแปลง หรือการให้ความรู้เรื่องอาหารปลอดภัย ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับผู้ผลิตโดยตรง ไม่ได้มองผู้บริโภคเป็นเพียงผู้ซื้อ แต่มีบทบาทกำหนดทิศทางสินค้าผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้และความต้องการ ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตแนะวิธีนำฟักแม้วหุงรวมกับข้าวเพื่อเพิ่มรสชาติ ผู้บริโภคก็อาจแนะนำผักที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงนี้ และอยากให้ปลูกขายมากขึ้น เป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชนตัดสินใจเรื่องอาหารร่วมกันระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง

3. การควบคุมมาตรฐานอาหารของตนเอง: แม้มีความท้าทายเรื่องการรวมมาตรฐานที่หลากหลาย แต่ผู้ผลิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ร่วมกันกำหนดกฎระเบียบและแบ่งโซนสินค้า มีการใช้ตรามาตรฐานเกษตรอินทรีย์ สหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ IFOAM ที่เข้มข้น และควบคุมการใช้สารปรุงแต่งในอาหารแปรรูป เช่น ตั้งป้ายสัญลักษณ์ “บั้งไฟสีเขียวเข้ม” เพื่อบ่งบอกว่าเป็นสินค้ามาจากมาตรฐาน IFOAM ทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้อย่างมั่นใจ และกำหนดกฎห้ามใช้ผงชูรสในอาหารแปรรูป ซึ่งตลาดทั่วไปไม่สามารถควบคุมได้

ทั้งนี้ ส่วนราชการ ทั้งในระดับจังหวัดและระดับชาติ มีบทบาทสำคัญในพัฒนาการที่ก้าวหน้าของตลาดแห่งนี้ ทั้งในมุมที่มีการกำหนดนโยบายขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ กำหนดมาตรฐานรับรองสินค้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำให้ตลาดมีความมั่นคงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

สิ่งท้าทายสำหรับก้าวต่อไปของตลาดเขียวยโสธร

สำหรับคนที่มีโอกาสได้เห็นหรือเดินหาซื้อข้าวของที่ตลาดเขียวจังหวัดยโสธรในปัจจุบัน สิ่งที่สามารถรับรู้ได้ชัดเจนก็คือ ที่นั่นมีลักษณะเป็นตลาดท้องถิ่น แต่ก็ค่อนข้างมีความหลากหลายของสินค้า เหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก ตลาดเขียวยโสธรได้รวมเอาผู้ผลิตจากหลากหลายสังกัดเข้ามาเป็นผู้ค้า

เป็นที่ชัดเจนว่า ผู้ผลิตเองก็ให้ความสนใจที่จะเข้ามาเป็นผู้ค้าในตลาดแห่งนี้ด้วย ตัวอย่างที่น่าสนใจเช่น ถึงแม้มีตลาดในระดับอำเภอใกล้บ้าน แต่คุณยายจากอำเภอกุดชุมก็ยอมเดินทางกว่า 40 กิโลเมตรเพื่อนำผักพื้นบ้านมาขายที่ตลาดเขียวในรั้วศาลากลางจังหวัดแหงนี้ เนื่องจากมีลูกค้าประจำที่มีกำลังซื้อสูงกว่าลูกค้าแถวบ้าน รวมทั้งรู้สึกได้ว่าลูกค้าเห็นคุณค่าของผักที่แกปลูกเองด้วยใจ

แต่อีกด้านหนึ่ง สิ่งที่เป็นความท้าทายและบททดสอบก็ยังคงมีอยู่ นั่นคือยังคงมีผู้บริโภคที่ขาดความเข้าใจในคุณค่าของอาหารอินทรีย์อย่างแท้จริง การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่ไม่ได้มาจากความตระหนักในเรื่องสุขภาพและความยั่งยืน เช่น ความสวยงามหรือราคาถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของลูกค้ารายใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น ยังคงมีความไม่เข้าใจว่าทำไมผักอินทรีย์จึงมีรูพรุนเล็กๆ น้อย ๆ หรือมีลูกค้านำผงชูรสมาให้แม่ค้าปรุงใส่ในส้มตำ

ความท้าทายอีกประการหนึ่งอยู่ที่การมีกลุ่มผู้ผลิตจากหลายมาตรฐาน ทั้งมาตรฐาน IFOAM มาตรฐานการผลิตทางการเกษตรที่ดีและเหมาะสม (GAP) และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ยโสธรขั้นพื้นฐาน (Yaso BOS) ซึ่งมีความเข้มข้นแตกต่างกัน

ความแตกต่างนี้อาจส่งผลทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนได้ ขณะเดียวกันก็อาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้ผลิตที่ใช้มาตรฐานสูง รวมทั้งสร้างความซับซ้อนทางด้านการบริหารจัดการ โดยอาจทำให้เกิดปัญหาในการกำหนดกฎระเบียบและการตรวจสอบมาตรฐานร่วมกัน

เช่นเดียวกับเรื่องการรวมกลุ่มจากหลายสังกัดก็ทำให้การบริหารจัดการตลาดมีความซับซ้อนด้วย

ความท้าทายประการที่สำคัญที่สุดคือเรื่องการพึ่งพาภาครัฐ ซึ่งแม้ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันถือเป็นจุดแข็งที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ แต่ในระยะยาวอาจกลายเป็นจุดอ่อนได้ หากนโยบายมีการเปลี่ยนแปลง ตลาดอาจขาดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน หากไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ เหล่านี้นับได้ว่าเป็นสภาพการณ์ที่อาจเป็นโจทย์ที่ต้องหาคำตอบที่เหมาะสมกันต่อไป ในการพัฒนาตลาดเขียวยโสธร

บทความแนะนำ