โทรศัพท์

096 948 1913

อีเมล์

sathaiaan@gmail.com

เวลาเปิด

จันทร์ - ศุกร์: 9:00 - 17:00

ตลาดสีเขียวหรือตลาดเขียวแห่งแรกของจังหวัดมหาสารคามในยุคเริ่มต้นเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วมีชื่อว่า “ตลาดมั่นยืน” ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับกลุ่มเกษตรกรในเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกมหาสารคาม นั่นคือ “กลุ่มมั่นยืน” ที่เป็นผู้ริเริ่มดำเนินการตลาดดังกล่าว ทั้งยังเป็นชื่อเดียวกันกับสถานที่ตั้งตลาดด้วย

วันที่ 15 ธันวาคม 2547 เป็นวันที่ “ตลาดมั่นยืน” เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก บริเวณข้างสำนักงานมั่นยืน ถนนศรีสวัสดิ์ดำเนิน ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ในรูปแบบตลาดนัดทุกวันพุธ ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะมีตลาดลลักษณะเดียวกันขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ เช่น ตลาดสีเขียว สวนสุขภาพศรีสวัสดิ์ดำเนิน และตลาดปลอดสารโรงพยาบาลมหาสารคาม

ประมาณ 20 ปีของตลาดเขียวมหาสารคามผ่านการเปลี่ยนแปลงมามากมาย มีทั้งช่วงที่เข้มแข็งและอ่อนแอ จนสามารถลุกขึ้นมายืนหยัดฟื้นฟูอธิปไตยทางอาหารสามารถสร้างกลไกภายในที่เข้มแข็ง เพื่อชุมชนท้องถิ่นได้จนถึงปัจจุบัน

จากรายงาน “ถอดบทเรียนพัฒนาการเครือข่ายตลาดสีเขียวประเทศไทย” ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือมกย. ระบุว่า กรณีของ “ตลาดมั่นยืน” ที่พัฒนามาสู่ตลาดสีเขียวเมืองมหาสารคามนั้น มีการขับเคลื่อนในระดับชุมชนเป็นรากฐานสำคัญ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม ที่เป็นหัวใจหลักของประเทศไทย

ทั้งนี้ เครือข่ายตลาดเขียวมหาสารคามถือเป็นหนึ่งในต้นแบบการพัฒนาชุมชนที่น่าสนใจ สะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสในการจัดการตลาดชุมชนอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การก่อตั้งที่ต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากองค์กรพี่เลี้ยง การเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ และโควิด -19 รวมทั้งการฟื้นฟูและสร้างกลไกการบริหารจัดการตนเองให้เข้มแข็งขึ้นในปัจจุบัน ที่ไม่จำกัดเป็นแค่ตลาดนัดทั่วไป แต่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่สร้างความตระหนักเรื่องเกษตรอินทรีย์และอาหารปลอดภัย รวมทั้งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจทางเลือกที่ส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยให้มีรายได้ที่มั่นคงและเป็นธรรม

4 ยุคสมัยของการพัฒนาตลาดเขียวมหาสารคาม

รายงานการถอดบทเรียนฯ ได้จัดแบ่งการพัฒนาตลาดเขียวมหาสารคามออกเป็น 4 ยุค

เริ่มตั้งแต่ปี 2547-2555 เป็นยุคของการก่อตั้งและวางรากฐานให้กับตลาด เพื่อให้กลุ่มเกษตรทางเลือก หรือเกษตรอินทรีย์มีพื้นที่จำหน่ายผลผลิตที่ปลอดภัย และเป็นแหล่งเรียนรู้ร่วมกัน โดยมีเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสานและโรงพยาบาลมหาสารคามเป็นองค์กรพี่เลี้ยง ช่วยสร้างกระบวนการเรียนรู้ และการยอมรับในคุณภาพของผลผลิตอย่างจริงจัง ทั้งยังมีการทดลองและพัฒนาระบบร่วมกันระหว่างกลุ่มเกษตรกรแกนนำและหน่วยงานภาคี เพื่อให้เกิดการขยายฐานการผลิตและสร้างมาตรฐานร่วมกันในระดับเครือข่าย

ปี 2556-2561 เป็นยุคที่ตลาดขยายตัวและเผชิญกับปัญหา หลังตลาดเริ่มเป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้าง ตลาดได้รับเชิญจากหน่วยงานภาครัฐให้ไปเปิดตลาดในพื้นที่ต่าง ๆ เกิดการขยายตัวของเครือข่ายและพื้นที่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกษตรกรต้องออกตลาดถี่ขึ้น แต่กำลังการผลิตกลับเท่าเดิม และเริ่มประสบปัญหาสินค้าผลิตไม่ต่อเนื่อง ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพและมาตรฐานของตลาด ขณะที่การตรวจสอบและการบังคับใช้กฎกติกาควบคุมตลาดยังไม่เข้มงวดเท่าที่ควร สะท้อนจุดอ่อนด้านการบริหารจัดการภายในไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว

กระทั่งถึงช่วงปี 2562-2563 เป็นยุคที่ตลาดต้องพบกับวิกฤตและการเปลี่ยนแปลงจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ตลาดต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว ประกอบกับมีการถอนตัวขององค์กรพี่เลี้ยง จึงทำให้เครือข่ายตลาดเขียวขาดทั้งทุนและกระบวนการเรียนรู้ที่เคยได้รับการสนับสนุน ซึ่งมีผลทำให้การควบคุมมาตรฐานตลาดหย่อนยานลงอย่างเห็นได้ชัด เริ่มมีแม่ค้าจากภายนอกเข้ามาขายสินค้ามากขึ้น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อคุณภาพของสินค้าและมาตรฐานโดยรวมเริ่มลดลง วิกฤตที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เห็นว่า การพึ่งพาองค์กรภายนอกมากเกินไปเป็นความเสี่ยง และทำให้เครือข่ายขาดความยั่งยืนในระยะยาว

หลังวิกฤตโควิด -19 นับแต่ปี 2564 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เข้าสู่ยุคของการฟื้นฟูและการสร้างความยั่งยืน โดยตลาดมีการปรับตัวครั้งใหญ่ เน้นฟื้นฟูโครงสร้างการบริหารและกระบวนการเรียนรู้ที่เข้มแข็งขึ้น พร้อมจัดทัพปรับโครงสร้างเปิดทางให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาท ที่สำคัญคือการนำระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โดยสร้างการรับรองแบบมีส่วนร่วม (PGS) เป็นกลไกหลักควบคุมคุณภาพตลาด มีสมาชิกปฏิบัติตามมาตรฐานได้ 100% พร้อมแผนเตรียมการสร้างผู้นำรุ่นที่สอง รวมถึงมีการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับสมาชิก

สภาพการณ์ดังกล่าวที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นจุดเด่นด้านการจัดการเพื่อความยั่งยืนของตลาดอย่างเป็นรูปธรรม มีการเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาภายนอกสู่การสร้างการบริหารจัดการตนเองที่ยั่งยืนมากขึ้นอย่างชัดเจน

ความเข้มแข็งของตลาดในปัจจุบัน

ปัจจุบันเครือข่ายตลาดเขียวมหาสารคามจึงมีบทบาทที่กว้างกว่าแหล่งซื้อขายในหลายมิติ  เช่น

– เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจชุมชน โดยเป็นช่องทางสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกรถึง 136 ครอบครัว เกิดการหมุนเวียนของเงินทุนในท้องถิ่น และสร้างความมั่นคงในอาชีพ

– เป็นเวทีแห่งการเรียนรู้ที่ให้ความรู้และก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำเกษตรอินทรีย์ทั้งสมาชิกและผู้สนใจทั่วไป

– เป็นกลไกทางสังคม ได่แก่การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการสำหรับสมาชิก เพื่อช่วยเหลือยามฉุกเฉิน แสดงถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นภายในเครือข่าย รวมทั้งการเป็นเครือข่ายผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อมและสุขภาพท้องถิ่น โดยใช้มาตรฐาน PGS อย่างเคร่งครัด ทำให้ตลาดเป็นแหล่งกระจายอาหารปลอดภัยที่สำคัญ ส่งเสริมการผลิตที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

โดยภาพรวมเครือข่ายตลาดเขียวมหาสารคาม มีจุดแข็งภายในตัวเองอย่างมาก โดยเฉพาะความน่าเชื่อถือและมาตรฐานการผลิต มีประวัติศาสตร์และรากฐานที่แข็งแกร่ง ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี มีเครือข่ายสมาชิกที่เหนียวแน่น เป็นที่รู้จักในท้องถิ่น และมีคณะกรรมการบริหาร สารวัตรตลาด รวมถึงกลไกการตรวจสอบที่ชัดเจน ทำให้การทำงานมีทิศทาง สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้

ส่วนจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขมีอยู่บ้าง เช่น การพัฒนาทักษะของสมาชิกและช่องทางการตลาดใหม่ ๆ เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และทักษะในการวางแผนการผลิต ทำให้สินค้าขาดความหลากหลาย สินค้าส่วนใหญ่ผลิตตามฤดูกาล และพึ่งพาแต่ช่องทางจำหน่ายรูปแบบตลาดนัดอย่างเดียว

ก้าวที่เป็นไปได้ของเครือข่ายตลาดเขียวมหาสารคาม

สำหรับข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาระบบนิเวศเครือข่ายตลาดเขียวมหาสารคาม รายงานการถอดบทเรียนฯ  ได้ระบุแนวทาง 3 ด้าน เพื่อให้ตลาดก้าวต่อไปอย่างยั่งยืน ดังนี้

1. การพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรอย่างจริงจัง เพื่อลดจุดอ่อนด้านทักษะและความไม่ต่อเนื่องของบุคลากร โดยเฉพาะเกษตรกร

ด้วยเหตุว่า เกษตรกรถือเป็นแกนกลางที่ขับเคลื่อนเครือข่ายให้ดำรงอยู่ได้ อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตและผู้รักษามาตรฐานของผลผลิต ในขณะที่การดำรงอยู่ของตลาดเขียวขึ้นอยู่กับคุณภาพและความหลากหลายของผลผลิต รวมถึงความปลอดภัย ดังนั้น หากเกษตรกรขาดทักษะ ความรู้ หรือแรงจูงใจในการผลิตที่ได้มาตรฐาน จะทำให้เครือข่ายไม่มีสินค้าที่จะจำหน่าย ที่สำคัญคือ ความน่าเชื่อถือของตลาดอาจจะสูญสิ้นไปในที่สุด

ในเชิงของกิจกรรมเพื่อการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกร มีการนำเสนอแบ่งออกเป็น 3 เสาหลัก ได้แก่

– สร้างหลักสูตรการเรียนรู้ตลอดชีวิต: จัดตั้ง “โรงเรียนเกษตรอินทรีย์” หรือหลักสูตรระยะสั้น เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อพัฒนาทักษะด้านการผลิตที่หลากหลายตามฤดูกาล การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า และการทำการตลาดออนไลน์

– สร้างกลไกการถ่ายทอดความรู้: ส่งเสริมให้ผู้นำรุ่นเก่าถ่ายทอดภูมิปัญญาให้แก่ผู้นำแถวสอง และคนรุ่นใหม่ผ่านกิจกรรมเยี่ยมแปลงเรียนรู้ หรือเวทีเสวนาแลกเปลี่ยน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการสืบทอดองค์ความรู้และสร้างความต่อเนื่องของเครือข่าย

– จัดตั้งกองทุนพัฒนาสมาชิก: จัดสรรเงินจากกองทุนสวัสดิการเป็นทุนสนับสนุนเกษตรกรทดลองปลูกพืชใหม่ ๆ หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูป จะช่วยกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมจากภายใน

2. การยกระดับกฎเกณฑ์ กองทุน และเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเกษตรกร และทำให้เครือข่ายสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตนเองในระยะยาว โดยมีรูปธรรมที่ควรดำเนินการ 3 ข้อหลัก ได้แก่

– การสร้างความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของมาตรฐาน PGS ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือ รวมทั้งยกระดับระบบมาตรฐาน PGS ให้เป็นดิจิทัล เพื่อให้เป็นข้อมูลออนไลน์ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าได้ด้วยตนเอง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของระบบแล้ว มาตรฐาน PGS ยังจะมีพลังในการกำกับดูแลมากขึ้นด้วย

– การสร้างความมั่นคงทางการเงินและสังคม ด้วยการยกระดับและขยายบทบาทของกองทุนให้มีบทบาทเชิงรุกมากขึ้น แทนที่จะเป็นกองทุนสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือยามฉุกเฉินเท่านั้น เช่น เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำสำหรับสมาชิก หรือสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จะช่วยลดการพึ่งพาเงินทุนจากภายนอก ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนภายในอีกด้วย

– การเสริมสร้างความต่อเนื่องของเครือข่าย ทั้งในการยกระดับกฎเกณฑ์ให้เข้มแข็ง ทำให้เครือข่ายมีโครงสร้างที่ชัดเจน ไม่สั่นคลอนได้ง่ายเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านผู้นำหรือสมาชิก รูปธรรมการดำเนินการเช่น การสร้างฐานข้อมูลสมาชิกและมาตรฐานการผลิตออนไลน์ที่สามารถตรวจสอบได้ง่าย ทั้งจากคณะกรรมการและผู้บริโภค

3. การสร้างความสัมพันธ์ที่เกื้อหนุนกับภาคีเครือข่ายภายนอก เพื่อให้เกิดสะพานเชื่อมที่ช่วยเสริมจุดแข็งและอุดช่องโหว่ของเครือข่าย ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้เครือข่ายเติบโตได้อย่างมั่นคง และสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเครือข่ายภายนอกจะสามารถช่วยในเรื่องการเข้าถึงทรัพยากรที่ขาดแคลน ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้มากขึ้น รวมทั้งเพิ่มอำนาจต่อรอง ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในยามที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคจากภายนอก เช่น การรุกรานจากพ่อค้าจร หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายของท้องถิ่น

ในส่วนของข้อเสนอเชิงกิจกรรมตามยุทธศาสตร์สร้างความสัมพันธ์กับภาคีเครือข่ายภายนอก ประกอบด้วยแนวทางหลักดังนี้

– ผนึกกำลังกับภาคการศึกษา เพื่อให้เกิดการหนุนช่วยพัฒนาเทคนิคการแปรรูป การออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือการตลาดออนไลน์

– ทำงานร่วมและร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่น ซึ่งจะมีบทบาททั้งในเรื่องการจัดหาพื้นที่จำหน่ายใหม่ ๆ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่องได้

– สร้างความเข้าใจกับผู้บริโภค ผ่านการจัดกิจกรรมเช่นการเยี่ยมชมแปลงหรือเวิร์กช็อปทำอาหารจากวัตถุดิบอินทรีย์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เห็นกระบวนการผลิต และเข้าใจถึงคุณค่าของสินค้าอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ด้วยโอกาสจากกระแสผู้บริโภคและเทคโนโลยีที่เปิดกว้างขึ้น หากเครือข่ายสามารถจัดการกับอุปสรรคที่มีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากร้านค้าทั่วไปและพ่อค้าจร ที่อาจนำสินค้าจากแหล่งอื่นมาขายบริเวณใกล้เคียง หรือพื้นที่ตลาดที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ตลอดจนการควบคุมมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง ตลาดเขียวมหาสารคามย่อมจะสามารถก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน                   

บทความแนะนำ