
จากรายงาน “ถอดบทเรียนพัฒนาการเครือข่ายตลาดสีเขียวประเทศไทย” ที่มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ มกย. มอบหมายนักวิชาการศึกษา ระบุว่า ตลาดสีเขียว หรือที่บางคนอาจเรียกอย่างสั้นว่า “ตลาดเขียว” หรือบ้างก็เรียกว่า “ตลาดทางเลือก” ในประเทศไทยเกิดขึ้นมายาวนานกว่า 40 ปีแล้ว โดยได้มีการแบ่งช่วงเวลาของพัฒนาการตลาดเขียวออกเป็น 3 ยุค
เริ่มเปิดตลาดจากฐานรากชุมชน
ยุคแรกของการก่อกำเนิดตลาดเขียวอยู่ในช่วงระยะเวลาระหว่างปี 2523-2533 โดยเริ่มจากความเห็นพ้องต้องกันและร่วมด้วยช่วยกันของนักพัฒนาองค์กรพัฒนาเอกชน หรือเอ็นจีโอ กับเกษตรกรรายย่อยที่มองเห็นปัญหาของระบบเกษตรเคมี ที่ไม่เพียงครอบงำระบบการผลิตของภาคการเกษตร แต่ยังเป็นตัวกำหนดลักษณะและคุณภาพสินค้าพืชผลในตลาด ตลอดจนกำหนดระบบการวางจำหน่าย หรือระบบตลาดด้วย
เกษตรกรรายย่อยและเอ็นจีโอสาย “เกษตรกรรมธรรมชาติ” หรือ “เกษตรอินทรีย์” หรือที่เรียกรวมๆ ว่า “เกษตรกรรมทางเลือก” ซึ่งเลือกวิถีการผลิตหรือการทำการเกษตรแบบเคารพธรรมชาติ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และเน้นพึ่งพาตนเอง ดังนั้นจึงปฏิเสธการใช้สารเคมี เกิดความคิดว่า ในฐานะผู้ผลิตซึ่งสร้างสินค้าที่มีความแตกต่าง มีคุณภาพดีกว่าและปลอดภัยกว่า ก็ควรที่จะต้องทำให้ผู้บริโภครู้จักและเข้าถึงด้วย เพื่อสร้างทางเลือกแก่ฝั่งผู้บริโภคเช่นเดียวกัน พร้อม ๆ ไปกับการสร้างระบบจำหน่ายที่ลดการพึ่งพาธุรกิจกระแสหลัก
รูปแบบของตลาดในยุคแรกเริ่มจากการใช้พื้นที่เล็ก ๆ ภายในวัด ชุมชน หรือในบ้านของเกษตรกรเป็นสถานที่พบปะและแลกเปลี่ยนผลผลิต หรือเสมือนเป็นตลาดนั่นเอง เพียงแต่ตลาดนี้มิได้เน้นการค้าขายทำกำไร แต่เน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ รวมถึงการหารือประเด็นต่าง ๆ ทั้งปัญหาที่ประสบร่วมกัน สิ่งที่สนใจ การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องต่าง ๆ การแสวงหาทางออก ฯลฯ
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ตลาดเขียวนั้นมีพัฒนาการและรากฐานจากการพัฒนาระบบเกษตรกรรมทางเลือก ซึ่งเป็นระบบเกษตรที่คำนึงถึงการฟื้นฟู รักษาระบบนิเวศและสภาพแวดล้อม โดยมีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจที่มุ่งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารในระดับครัวเรือนและสร้างรายได้ที่เป็นธรรมให้แก่เกษตรกร เป็นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและผลผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ให้เกิดขึ้นในระดับครอบครัวและสังคมโดยรวม
นอกจากที่ได้ปักหมุดให้ตลาดเขียวเกิดขึ้นแล้ว ในช่วงระยะ 10 ปีของยุคแรก ตลาดเขียวยังได้ปักหลักขึ้นในฐานะที่เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรด้วยการสร้างราคาที่เป็นธรรม ลดขั้นตอนพ่อค้าคนกลาง ขยายบทบาทเกษตรกรให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำการตลาด และสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค


ยุคแห่งการขยายตัวสู่เมือง
สำหรับในยุคที่สองของการพัฒนาตลาดเขียวคือช่วงปี 2543-2553 โดยมีนิยามว่าเป็นยุคที่ตลาดขยายตัวสู่พื้นที่เมืองมากขึ้น ภายหลังจากที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาจนเริ่มมีเครือข่ายผู้ค้าและสถานที่ตั้งประจำชัดเจน พร้อม ๆ กับที่กระแสแนวคิดเรื่องสุขภาพและการบริโภคอาหารปลอดภัยเริ่มเป็นที่สนใจในกลุ่มคนเมืองมากยิ่งขึ้น
จากที่เคยเปิดตลาดอยู่ในชุมชนในภูมิภาคเป็นหลัก ตลาดสีเขียวได้ขยายตัวเข้าสู่พื้นที่ในเมืองมากขึ้น และทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกรในชนบทกับผู้บริโภคในเมืองอย่างแท้จริง เช่น ตลาดสุขใจหรือบ้างเรียกตลาดสามพราน ตลาดนัดสีเขียวที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งไม่ได้มีเพียงการขายของ แต่ยังมีการจัด Workshop และกิจกรรมให้ความรู้แก่ผู้บริโภค ทำให้ตลาดกลายเป็นพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรม
นอกจากนั้น ในยุคนี้ยังมีการเกิดขึ้นของร้านค้าออร์แกนิกและระบบกล่องผักส่งตรงถึงบ้าน หรือ CSA (Community Supported Agriculture) ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ง่ายขึ้น และในทางกลับกันก็เป็นการช่วยกระจายผลผลิตจากพื้นที่ออกไปสู่ผู้บริโภคในเมืองโดยตรง
แนวคิด CSA มีต้นแบบมาจากเกษตรกรชาวญี่ปุ่นผู้ปลูกผักอินทรีย์และผู้บริโภคที่ต้องการอาหารปลอดภัยได้ร่วมกันคิดรูปแบบคล้ายการเป็นสมาชิก โดยครัวเรือนจำนวนหนึ่งตกลงที่จะรับพืชผักหรือพืชผลจากเกษตรกรหนึ่งรายเป็นประจำในลักษณะเหมือนการผูกปิ่นโต ซึ่งเริ่มแรกของระบบนี้ไม่ได้แลกเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรกับเงินอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่อาจตกลงแลกเปลี่ยนกับสิ่งของอื่นหรือความช่วยเหลืออย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้








เติบโตสู่เชิงพาณิชย์กระแสหลัก
รายงานถอดบทเรียนฯ ได้จัดยุคที่สามของพัฒนาการตลาดเขียวว่าเริ่มต้นจากปี 2553 เป็นต้นมาจนปัจจุบัน โดยอธิบายว่าเป็นยุคที่ตลาดเขียวเติบโตจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนเมืองอย่างเต็มตัว และมีการขยายสู่พื้นที่กระแสหลัก รวมทั้งในส่วนรูปแบบก็มีความหลากหลายมากขึ้น
ตลาดเขียวมีทั้งที่ปรากฏในห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือแม้แต่การเปิดตลาดในพื้นที่สาธารณะของกรุงเทพฯ ฯลฯ รวมทั้งมีการปรับตัวเพื่อสร้างแบรนด์หรือตราสินค้า มีการวางแผนและการทำการตลาดหลากหลายรูปแบบ ตลอดจนมีการพัฒนามาตรฐานต่าง ๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ บางส่วนมีการรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ เช่น Greenery หรือ Good Market
อีกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนก็คือสภาพการแข่งขันที่สูงขึ้น และโครงสร้างที่มีความซับซ้อนขึ้นใกล้เคียงกับระบบตลาดกระแสหลักทั่วไป ในบางกรณี ความเป็นทางเลือกเริ่มหดลงเหลือเพียงความแตกต่างด้านสินค้า หรือกระทั่งเริ่มไม่ค่อยแตกต่างแล้ว เนื่องจากมีการผสมปนเปกัน
รายงานการถอดบทเรียนฯ ตั้งประเด็นไว้ว่า การเติบโตในเชิงพาณิชย์นั้นมาพร้อมกับความท้าทาย ทั้งเรื่องความมั่นคงของเกษตรกรรายย่อย การรักษามาตรฐาน และการเผชิญหน้ากับสินค้าเกษตรอินทรีย์นำเข้า อีกทั้งด้วยสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน จึงทำให้ความท้าทายที่ต้องเผชิญนั้นมีรายละเอียดเชิงปฏิบัติการที่แตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม รายงานยังคงยืนยันว่า “ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทุกตลาดสีเขียวยังคงมีร่วมกันคือการเป็นพื้นที่สำคัญที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค”

