การปฏิวัติในแม็กซิโกขึ้นก่อนหน้าการปฏิวัติเขียวในเอเชีย โดยในปี 1943 ผู้เชี่ยวชาญของมูลนิธิร๊อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) ได้เดินทางไปสำรวจสภาพการผลิตธัญพืชของเม็กซิโก เพื่อปรับปรุงการผลิตทางการเกษตร ทั้งนี้ โดย ดร.นอร์แมน บอร์ล๊อก นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวในปี 1944
มีผู้วิเคราะห์ ร๊อคกี้เฟลเลอร์เดินทางไปเม็กซิโกก่อนเพราะเหตุผลสองประการแรก เป็นการเดินทางเข้ามาเพื่อเกื้อหนุนธุรกิจน้ำมัน Standard Oilของตระกูลร๊อคกี้เฟลเลอร์ และส่วนหนึ่งเป็นการแสวงหาพันธมิตรในสงวครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งขณะนั้น ลัทธินาซีในยุโรปกำลังแพร่ขยายออกไปนอกทวีปยุโรปแล้ว การสร้างความสัมพันธ์กับเม็กซิโกนอกจากจะลดกระแสชาตินิยมในเม็กซิโกแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับประเทสเพ่ือนบ้านซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในสถานการณ์สงครามในขณะนั้น ความช่วยเหลือวิชาการจากร๊อคกี้เฟลเลอร์ โดยปรับปรุงพันธ์ข้าวสาลีที่ให้ผลผลิตสูง และต้านทานโรคราสนิม (rust)ได้ผลอย่างรวดเร็วผลผลิตข้าวสาลีเพิ่มขึ้นจาก 770 ปอนด์ต่อเอเคอร์ ในปี 1952 เพิ่มขึ้นเป็น 2,280 ปอนด์ต่อเอเคอร์ ในปี1964 โดยเฉพาะในพื้นที่ชลประทาน ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 2,900 ปอนด์ต่อเอเคอร์ แม็กซิโกซึ่งเคยนำข้าวสาลีได้กลายมาเป็นประเทศที่ผลิตข้าวสาลีได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ความสำเร็จของร๊อคกี้เฟลเลอร์ในแม็กซิโก และปัจจัยอื่นๆ ประกอบกันทำให้สหรัฐหันความสนใจไปยังภูมิภาคเอเชีย
การเปลี่ยนแปลงในเอเชียในขณะนั้น สร้างความหวั่นไหวต่อโลกทุนนิยมเสรี เช่น พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ชัยชนะประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี 1949 ต้นศตวรรษ 1950 สหรัฐยกพลขึ้นบกเพื่อขึ้นบกเพื่อทำสงครามในเกาหลีในขณะที่ภูมภาคอาคเนย์กำลังตกอยู่ภายใต้สงครามก่อการร้าย ภายในประเทศในมาเลเซียพวกอังกฤษต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิส์ ในฟิลิปปินส์กลุ่มอาบูซายาฟ(Hukbalahap) สร้างความปั่นป่วนอย่างหนักต่อรัฐบาล ในขณะที่ในอินเดียจีนกองทัพฝรั่งเศสกำลังพ่ายแพ้ นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ อาหารถูกใช้เป็นอาวุธมาโดยตลอดหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สหรัฐเคยส่งความช่วยเหลือด้านอาหารเข้าไปในยุโรปตะวันออก เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อต้านการปฏิวัติของบอลเชวิก ก่อนสิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง สหรับก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารและเศรษฐกิจต่อรัฐบาลเจียงไคเช็คผ่านองค์การสหประชาชาติ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีการใช้อาหารเพื่อบรรเทาความอดอยากของยุโรป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการมาร์แชล
เกษตรกรรมและอาหารของสหรัฐ จึงมีความสำคัญมากกว่าพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจ แต่เกี่ยวข้องกับประเด็นความมั่นคง และการเมืองระหว่างประเทศด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าสงสัยที่การเกษตรของสหรัฐได้อยู่ภายใต้การสนับสนุนนของรัฐบาลมานานติดต่อกัน มานานกว่าครึ่งศตวรรษมาแล้วกฎหมายฟาร์มแอดต์ ซึ่งให้เงินสนับสนุนเกษตรกรอเมริกันเป็นจำนวนมหาศาลในปัจจุบัน มีรากฐานมาจากเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว
ที่มา : หนังสือจากการปฏิวัติเขียวสู่พันธุวิศวกรรม บทเรียนสำหรับอนาคตเกษตรกรรมไทย เขียนโดย วิทูรย์ เลี่ยนจำรูญ,สุริยนต์ ธัญกิจจานุกิจ,และนิรมล ยุวนบุณย์,เหรียญ ชำนิ,พิเชษฐ์ ปานดำ,วิทยา พรมจักร,สุรารักษ์ ใจวุฒิ,อารีวรรณ คูสันเทียะ