“ก่อนเลือกพันธุ์ปลูกข้าวในแต่ละรอบการผลิต จะมีแปลงทดสอบสายพันธุ์ข้าวที่แลกเปลี่ยนมาจากเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในแต่ละภาค จากนั้นคัดเลือกพันธุ์ที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่เพื่อนำมาขยายพันธุ์เพื่อทดลองปลูกในรอบถัดไป พร้อมกับรายงานผลให้กับเครือข่ายรับทราบเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลพันธุกรรมข้าวพื้นถิ่นภายในเครือข่ายผ่านการทดลองปลูกร่วมกัน” เป็นหนึ่งในหลักการที่สำคัญของการทำนาของเกียรติพงศ์ ลังกาพินธุ์ คนรุ่นใหม่ที่กลับมาอยู่บ้านและเลือกทำเกษตรอินทรีย์ในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน เพราะต้องการให้ชุมชนมีสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี และมีความมั่นคงทางอาหาร
การทำการเกษตรของเกียรติพงศ์ได้เน้นการผลิตหลากหลายทั้งการทำนา ปลูกพืชผัก ไม้ผล และการเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้มีผลผลิตเพื่อบริโภคและสร้างรายได้ให้กับครอบครัวต่อเนื่องทั้งปี
หลักการในการทำนาของเกียรติพงศ์นั้นผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนเป็นหลักในพื้นที่ 3 ไร่ โดยเลือกปลูกพันธุ์ข้าวพื้นบ้านมากกว่าพันธุ์ข้าวที่เป็นนิยมในตลาดทั่วไปดังเช่น ข้าว กข 6 ข้าวหอมมะลิ 105 เนื่องจากพันธุ์ข้าวดังกล่าวเป็นพันธุ์ที่ผลิตมาเพื่อตอบสนองการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีในปริมาณมาก ที่ผ่านมาเกียรติพงศ์ได้ทดลองปลูกข้าว กข 6 ในระบบเกษตรอินทรีย์ แต่พบว่า มีปัญหาข้าวเป็นโรค ได้ปริมาณผลผลิตน้อย พอใกล้ถึงช่วงการเก็บเกี่ยวต้นข้าวจะล้มง่ายและมีสัดส่วนของข้าวลีบสูง ซึ่งตรงกันข้ามกับข้าวพันธุ์พื้นบ้านที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในระบบเกษตรอินทรีย์ โดยมีลักษณะลำต้นข้าวที่แข็งแรง ทนต่อโรค ให้ปริมาณผลผลิตที่สูง และสามารถเก็บพันธุ์ไว้ปลูกในรอบการผลิตถัดไปได้โดยไม่กลายพันธุ์
โดยรอบการผลิตของเกียรติพงศ์ที่ผ่านมาได้เลือกปลูกข้าว 2 สายพันธุ์ที่เป็นข้าวอายุสั้นประมาณ 110-120 วัน คือ ข้าวดอสายัญ และข้าวหอมอุบล เหตุที่เลือกพันธุ์ดังกล่าวเนื่องจากผ่านการคัดเลือกพันธุ์จากแปลงทดลอง และข้าวมีความนุ่ม หอม ทนต่อโรค ลำต้นแข็งแรง ให้ปริมาณข้าวมากเฉลี่ยที่ 800 กิโลกรัมต่อไร่
การทำนาของเกียรติพงศ์มีการจัดการที่น่าสนใจในด้าน 1) การเพาะกล้าและการปลูก 2) การเตรียมแปลง 3) การควบคุมโรค แมลง และวัชพืช และ 4) การเก็บเกี่ยว มีรายละเอียดเบื้องต้นดังต่อไปนี้
การเพาะกล้าและการปลูก
รูปแบบการปลูกข้าวของเกียรติพงศ์นั้นเลือกการปลูกแบบนาโยน เนื่องจากเป็นรูปแบบการปลูกที่ประหยัดเวลา ลดต้นทุนในการผลิตด้านแรงงาน และประหยัดเมล็ดพันธุ์ที่ใช้เพียง 7 กิโลกรัมต่อไร่ โดยมีเทคนิคการเพาะกล้า ดังนี้
- ดินสำหรับการเพาะกล้านั้นควรเป็นดินดีที่ผ่านการร่อน ไม่ควรปั่นดินให้ละเอียดเพราะจะทำให้ดินแน่นทำให้กดทับ น้ำไม่ระบาย
- ใช้อัตราส่วนดินที่ผ่านการร่อน 11 กิโลกรัมต่อพันธุ์ข้าว 1 กิโลกรัม มาคลุกให้เข้ากัน จากนั้นนำไปเทลงในถาดเพาะ โดยอัตราส่วนดังกล่าวจะได้ถาดเพาะข้าวประมาณ 7-8 ถาด ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ดีจะได้กล้าข้าวประมาณ 3-7 เมล็ด/หลุม
- หลังจากเพาะกล้า 15 วัน สามารถนำไปโยนกล้าได้
การเตรียมแปลง
การเตรียมแปลงนั้นมีการจัดการเช่นเดียวกับนาดำทั่วไป คือ เริ่มจากการไถ 1 ครั้ง และคราด 1 ครั้ง จากนั้นเอาน้ำในนาออกคล้ายกับการเตรียมนาหว่าน เพราะการทำนาโยนไม่ต้องการน้ำมาก เพื่อที่เวลาโยนกล้าข้าวแล้วกล้าข้าวจะอยู่หน้าดินที่ต้องรอให้รากยืดลงไปสัมผัสกับหน้าดิน 1 คืน เมื่อต้นกล้าตั้งต้นได้ก็จะทยอยเอาน้ำเข้านา
โรค แมลง และวัชพืช
จากประสบการณ์การทำนาที่ผ่านมาพบว่า มีปัญหาเรื่องโรคและแมลงน้อยมาก เพราะพันธุ์ข้าวที่เลือกปลูกในนานั้นเป็นพันธุ์ข้าวที่ผ่านการทดลองปลูกในแปลงทดลอง โดยมีลักษณะพันธุ์ที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ มีลักษณะลำต้นแข็งแรง ทนต่อโรคและแมลง ส่วนเรื่องการจัดการวัชพืชนั้นจะสัมพันธ์กับการโยนกล้า คือ ช่วงที่โยนกล้าจะทยอยปลูกสัปดาห์ละ 2 งาน เพื่อให้ทันต่อการจัดการหญ้าที่ไม่มากเกินไป ซึ่งการจัดการหญ้าที่ผ่านมาเป็นการใช้มือถอนควบคู่กับการใช้เครื่องตัดหญ้า
การเก็บเกี่ยว
การเก็บเกี่ยวข้าวที่ผ่านมาจะใช้เครื่องตัดหญ้าที่ดัดแปลงสำหรับตัดข้าวควบคู่กับการใช้เคียว ด้วยการใช้เครื่องทุ่นแรงในการเก็บเกี่ยวทำให้ไม่ต้องจ้างแรงงานเสริม ส่วนการตีข้าวนั้นใช้เครื่องนวดข้าวที่สามารถย่นเวลาได้มากและทุ่นแรงงานในการจัดการเทียบเท่าแรงงาน 10 คน การใช้เครื่องนวดทำให้ได้ฟางข้าวไว้ใช้และลดต้นทุนในการจ้างแรงงาน ที่ผ่านมาทำได้ด้วยตนเองเป็นหลักไม่ได้จ้างแรงงาน
และทั้งหมดนี้คือ การบอกเล่าประสบการณ์การทำนาของเกียรติพงศ์ ลังกาพินธุ์ คนรุ่นใหม่แห่งอำเภอลี้ จังหวัดลำพูนที่มุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนในแปลงของเขา เพื่อสร้างระบบเกษตรที่สร้างความมั่นคงทางอาหารของครอบครัวและชุมชน สร้างระบบนิเวศที่เกื้อกูล และสร้างสังคมที่แตกต่าง