โทรศัพท์

096 948 1913

อีเมล์

sathaiaan@gmail.com

เวลาเปิด

จันทร์ - ศุกร์: 9:00 - 17:00

  1. ที่มาของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแนวร่วมปฏิวัติขยะ จังหวัดสุพรรณบุรี

          ประธานวิสาหกิจชุมชนอดีตที่ปรึกษาของธนาคารแห่งหนึ่ง มีความสนใจเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพื่อมาเรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์และกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด จึงได้ไปเรียนรู้เรื่องจุลินทรีย์ที่ช่วยในการย่อยสลายและเพิ่มคุณภาพให้ดิน การทำสวนที่ตั้งใจต้องรอเวลาเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตยังไม่ประสบความสำเร็จในทันที

          สมาชิกของวิสาหกิจชุมชนไม่ได้ร่วมตัวกันจากชุมชนเดียวกัน แต่รวมสมาชิกจากคนที่มีแนวคิดเดียวกัน ซึ่ง แกนนำส่วนใหญ่เป็นข้าราชการเกษียณ มีความสนใจและเกี่ยวข้องกับเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและหลังจากที่ได้ไปดูงาน เห็นทิศทางการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกันคือ BCG Model (Bio-Circular-Green Economic) “ต้องการให้บ้านเมืองสะอาด เกษตรกรได้ใช้น้ำมันราคาถูก” ผู้ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกมีประสบการณ์และความชำนาญในการถ่ายทอด เช่น การสอนนักเรียนทำปุ๋ยหมัก ปลูกผักโดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลง

          ชื่อของกลุ่มผ่านการหารือร่วมกัน และมีเป้าหมายให้เกิดผลสะเทือน ได้รับความสนใจ เมื่อได้ยินได้เห็นแล้วต้องเข้าใจถึงเป้าหมายของกลุ่ม

ปี พ.ศ. 2558-2559 ได้ร่วมกลุ่มทำกิจกรรม เก็บขยะอินทรีย์ (เศษอาหาร)

“ขยะหอม” กิจกรรมแรกของกลุ่ม ซึ่งได้รับคำชวนจากอาจารย์ที่สอนเรื่องจุลินทรีย์ ให้นำความรู้เรื่องจุลินทรีย์มาจัดการขยะเศษอาหาร โดยรับซื้อขยะเศษอาหารจากครัวเรือนในราคา 0.50 บาท มีครัวเรือนเข้าร่วมกว่าหนึ่งร้อยครัวเรือน สามาชิกในกลุ่มนำอุปกรณ์ไปรับซื้อ ได้แก่ ตะกร้า ถังรับเศษอาหาร และจุลินทรีย์เพื่อราดดับกลิ่น ทำร้าน 0 บาท เพื่อรับขยะมาแลกดับสินค้าในชีวิตประจำวัน  กิจกรรมได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในช่วงเวลา 8 เดือน ต้นทุนที่ต้องใช้จ่ายยังไม่สามารถดูแลกิจกรรมได้ทั้งหมดจึงต้องพักโครงการ

สมาชิกที่ได้ร่วมกิจกรรม เช่น แม่ค้าขายผลไม้นำเปลือกสับปะรดมาขาย ได้รายได้ตกเดือนละพันกว่าบาท ร้านอาหารตามสั่งที่ขายเศษอาหารให้กับกลุ่ม นำเศษอาหารมาแลกกับ น้ำปลา น้ำมัน ข้าว ที่เป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหาร “ไม่ต้องใช้เงินซื้อ ใช้เศษขยะที่เขาทิ้ง”

ปี พ.ศ. 2562 ได้ไปศึกษาดูงาน และระดมหุ้มเพื่อตั้งวิสาหกิจชุมชนฯ

          เสียงสะท้อนจากกิจกรรมเดิมที่หยุดพักทำให้รู้สึกติดค้าง แต่ประสบการณ์ที่ได้ขับเคลื่อนกิจกรรมขยะหอม ถือว่าเป็นการส่งเสริมเรื่องการคัดแยกเบื้องต้น และเห็นว่า “ถุงพลาสติก” ทำได้เพียงแยกออกจากเศษอาหารแต่ยังไม่มีวิธีจัดการด้วยชุมชนเองได้ จึงได้ไปศึกษาดูงานกับมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์เพื่อศึกษานวัตกรรมนำถุงพลาสติกมาทำน้ำมัน หลังจากไปดูงานได้กลับมาหารือร่วมกัน โดยเริ่มต้นจากแนวคิดที่ต้องการให้ชุมชนเห็นตัวอย่างผลผลิตที่ได้จากการคัดแยกขยะ จึงเริ่มเขียนแผนธุรกิจเพื่อให้เห็นทางออกของขยะถุงพลาสติก ผนวกกับสถานการณ์บ่อฝังกลบขยะที่สุพรรณบุรี เหลือเพียง 1 บ่อที่ถูกกฎหมาย แต่ก็เริ่มมีปัญหาการร้องเรียง ระดมหุ้นจากสมาชิกและคนที่รู้จัก ได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลามอและสามารถร่วมรวมทุนได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

          สวนพุทธชาต พื้นที่ขนาด 3 ไร่ ถูกจัดเตรียให้เป็นศูนย์เรียนรู้การจัดการขยะอย่างยั่งยืนของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ที่เน้นเรื่องการนำถุงพลาสติกมาทำน้ำมัน รวมทั้งฐานเรียนรู้เรื่องปุ๋ยอินทรีย์ นำเศษอาหารมาทำปุ๋ยภายใน 24 ชั่วโมง และขยายผลการจัดการขยะโฟม เกิดเป็นฐานเรียนรู้เรื่องการปั้นหินเทียม และกิจกรรมที่เชื่อมระหว่างกลุ่มกับชุมชนก็คือร้านรวยน้ำใจ ที่พัฒนาแนวคิดมาจากธนาคารขยะ

  1. ทางออกของขยะพลาสติก เทคโนโลยีการผลิตน้ำมันจากขยะเศษถุงพลาสติกด้วยกระบวนการไพโรไรซิส

          กระบวนการแปรรูปพลาสติกไปเป็นน้ำมัน โดยใช้กระบวนการไฟโรไรซิส ซึ่งเป็นกระบวนการหลอมอัดอากาศ ได้แก๊ส โดยไม่ให้ออกซิเจนในกระบวนการเพื่อไม่ให้เกิดคาร์บอนมอนออกไซด์และคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อไม่ให้เกิดมลพิษ แต่ยังมีจุดที่เกิดเขม่าจากการใช้เชื้อเพลิงแข็ง (ไม้=ฝืน) จึงต้องมีการนำไปผ่าน scrubber (ตัวดักจับเขม่า) เพื่อไม่ให้เกิดมลพิษ กระบวนการเบื้องต้นมีดังนี้

  1. ระบบป้อนพลาสติก เริ่มที่เครื่องฉีกพลาสติก พลาสติกที่จะเข้ากระบวนการต้องเป็นพลาสติกที่ผ่านการคัดแยก ล้างและตากให้แห้ง ย่อยให้มีขนาดเล็กเพื่อให้หลอมได้สะดวก พลาสติกหากไม่รับการจัดการจะถูกทิ้งลงบ่อขยะ
  2. นำพลาสติกที่ย่อยชักลอกขึ้นไปด้านบนเตาปฏิกรณ์ เตาปฏิกรณ์แบ่งเป็น 2 วง วงในคือ reactor ที่จะหลอมพลาสติกเมื่ออุณภูมิสูงถึง 300 องศาเซลเซียส และความร้อนจะสูงไปถึงประมาณ 4-500 องศา พลาสติกจำนวน 100 กิโลกรัม ใช้เวลาหลอมด้วยความร้อนประมาณ 4-5 ชั่วโมง
  3. เตาปฏิกรณ์จะให้ความร้อนด้วยเชื้อเพลิงแข็ง (ไม้=ฝืน) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่หาได้ง่าย และสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีกว่าการใช้เชื้อเพลิงประเภทอื่น
  4. พออุณหภูมิสูงถึง 300 องศา พลาสติกกลายเป็นของเหลว แก๊สจะออกผ่านท่อสีขาว มาผ่านรังผึ้งเพื่อให้ได้น้ำมัน (หอควบแน่น) ได้เป็นของเหลว พออุณหภูมิเหมาะจะได้เป็นน้ำมัน น้ำมันที่ได้จะส่งไปตรวจที่ศูนย์เชื้อเพลิงที่จุฬาฯ วิทยาเขตสระบุรี เพื่อนำไปสตรวจสอบว่า น้ำมันเบนซินที่ได้มีดีเซลปนด้วยหรือไม่ หากมีปนต้องนำไปต้นเพื่อแยกออก เมื่อแยกแล้วจะนำไปตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อให้ทราบชนิดน้ำมันที่ได้ในองค์ประกอบที่ถูกต้อง ส่วนใหญ่ผลผลิตที่ได้จะเป็นดีเซลที่มีเบนซิลปน ซึ่งต้องตรวจสอบตามล็อต เพราะหากนำไปใช้เลยจะทำให้เครื่องยนต์มีปัญหา ซึ่งจะผลิตและรวบรวมให้ได้ปริมาณ 2,000 ลิตรเพื่อส่งตรวจก่อนจะนำไปขาย อีกสาเหตุที่การตรวจสอบช่วยได้คือ ฤดูฝนพลาสติกมีความชื้นสูง บางครั้งมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ การส่งตรวจจะทำให้สามารถปรับปรุงคุณภาพได้ก่อน
  5. นำเข้าเชื้อเพลิงแข็งเพื่อให้ความร้อน ซึ่งทำให้เกิดเขม่า เขม่าดำจะออกมาและนำไปผ่าน scrubber เพื่อผ่านการหล่อเย็น ได้ผลผลิตเป็นน้ำส้มควันไม้
  6. กากตะกอนเป็นส่วนที่มีโอกาสจะกลายเป็นมลพิษ หากไม่เลือกพลาสติกที่จะนำมาเข้ากระบวนการ เช่น PVC จะเกิดคอลไรด์ ซึ่งคลอไรด์คือสารพิษ สังเกตจาก PVC เป็นพลาสติกแข็ง ซึ่งเป็นพลาสติกที่ต่างกันกับถุงทั่วไปตั้งแต่การผลิต จึงไม่แนะนำให้นำเข้ากระบวนการฯ พลาสติกทั่วไปในชีวิตประจำวันสามารถนำกระบวนการฯเข้าได้หมด แต่ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซองที่เคลือบสีจะผลิตน้ำมันได้น้อย และทำให้เกิดกากตะกอน จึงไม่นิยมนำมาเข้ากระบวนการ

          **สิ่งที่ไม่นำเข้ากระบวนการ 1. พลาสติก PVC 2. โฟม ซึ่งโฟมผลิตมาจากน้ำมัน แต่จากกระบวนการทางเคมี โฟมมีสารไซยาไนโนด์ จึงไม่ควรนำเข้ากระบวนการฯ 3. ยางรถยนต์ เพราะต้องใช้ความร้อนสูงถึง 800 องศาเซลเซียส และสร้างมลพิษสูง

          ต้นทุนการติดตั้งเครื่องหลอมด้วยกระบวนการไพโรไรซิสที่ผ่านการปรับปรุงแล้วราคารวมเครื่องต้มอยู่ที่ประมาณ 2,000,000 บาท ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีงบประมาณที่สามารถช่วยสนับสนุนชุมชน ต้นทุนแปรผันในการผลิต ได้แก่ พลาสติก เชื้อเพลิง ค่าแรง ค่าไฟในการเดินเครื่องจักร สิ่งสำคัญคือการจัดการต้นทุน “เงินลงทุนครั้งแรก” การบำรุงรักษาทำอย่างต่อเนื่องทุกเดือนค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่สูงมาก หากมีเตาแบบนี้กระจายอยู่ทั่วประเทศ ก็ทำให้การขนส่งมีความสะดวกมาขึ้น ไม่ต้องส่งในระยะทางที่ไกลเกินไป เพราะพลาสติกน้ำหนักเบา แต่มีปริมาตรใหญ่ ต้องใช้รถใหญ่ในการขน ข้อดีของการเป็นวิสาหกิจคือเราไม่จำเป็นต้องเสียภาษีสรรพสารมิตร เป็นผลประโยชน์ให้กับเกษตรกรไทย  “หากการผลิตลักษณะนี้โดนเก็บภาษี จะไม่สามารถสู้บริษัทใหญ่ได้เลย”

          เครื่องถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการทำงานของชุมชน กำลังการผลิตสามารถหลอมพลาสติก 400 กิโลกรัม มีมอเตอร์ในการจัดการ ใช้แรงงานคนน้อย เพียง 1 คนก็สามารถทำงานได้ แต่เพื่อความรัดกุมจึงควรมี 2 คน เพื่อความปลอดภัย ขณะนี้กำลังพัฒนาระบบตรวจจับ pm 2.5 เพื่อดูแลสุขภาพของคนที่เข้ามาดูงาน และคนทำงานในบริเวณเครื่อง มีแผนขยายโรงเก็บน้ำมันให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น ต้นทุนการผลิตตัวแปรอยู่ที่ค่าแรง และค่าพลาสติก ซึ่งหากไม่ต้องซื้อก็จะสามารถลดต้นทุนไปได้

  1. ร้านรวยน้ำใจ สินค้าในร้านมาจากน้ำใจของผู้คน ที่นำมาแลกเปลี่ยนกัน

          เป้าหมายคือต้องการรณรงค์คัดแยกขยะที่ต้นทาง โดยที่ประชาชนจะต้องเป็นผู้ที่แยกเอง ไม่ใช่สมาชิกเป็นผู้มาแยกให้ ได้แก่ ขวดพลาสติก ขวดแก้ว กระป๋องอะลูมิเนียม กระดาษ และเศษอาหาร โดยจะเน้นทำกิจกรรมร่วมกับคนในชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนคัดแยกเองได้ ตั้งแต่เด็กไปถึงผู้สูงอายุก็สามารถแยกเองได้ ต่อมาคือการลดปริมาณขยะ อันดับแรกคือขายได้เงิน สองคือนำขยะไปรีไซเคิล ฉะนั้นจะเห็นว่า “ทุกอย่างมีราคาหมด” สิ่งสำคัญคือ “การแยกที่ต้นทาง” ต้องแยกเศษอาหารออกจากขยะประเภทอื่นให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะนำมาจัดการต่อได้ง่ายและไปต่อได้อีก เมื่อทุกคนมีความเข้าใจเรื่องการคัดแยกและทำอย่างเนื่อง จึงได้จัดทำกิจกรรมเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ที่คัดแยกขยะ เกิดการแลกเปลี่ยนเป็นสินค้ากับขยะที่ผ่านการคัดแยกแล้ว

          ซึ่งร้านรวยน้ำใจพัฒนามาจากแนวคิดธนาคารขยะ ของที่ได้รับบริจาคมาทั้งรองเท้าและเสื้อผ้านำมาเข้ากิจกรรมรับแลกขยะทั้งหมด ซึ่งจะไม่แจกจ่ายไปโดยฟรีๆ ขณะนี้สามารถดูแล “ร้าน” และ “เลี้ยงตัวเองได้” โดยไม่ต้องใช้ทุนจากส่วนอื่นแล้ว

          กิจกรรมได้รับงบประมาณจากสถาการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้นำงบประมาณส่วนนี้มาจ้างงานเพื่อสร้างคนให้มีความรู้เรื่องการจัดการขยะ รู้วิธีการคัดแยกที่ทำให้เกิดรายได้ รับซื้อและนำไปขายต่อเป็น และสร้างสรรค์นำไปต่อยอดให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ซึ่งได้สร้างงานให้คนในชุมชนแล้วจำนวน 5 เดือน

  1. หินเทียม นำโฟมไปเป็นโครงสร้างของสิ่งก่อสร้าง

          โฟมเป็นโจทย์ต่อมาจากถุงพลาสติกที่ยังไม่มีที่ไปในเบื้องต้น จึงได้ทดลองนำโฟมมาทำเป็นโครงสร้างเพื่อนำมาประดับ เพื่อทดแทนการช้หินจากธรรมชาติ โดยหมุนเวียนทรัพยากรที่ใช้แล้วให้ไม่ถูกทิ้งไปอย่างสูญเปล่า

          วิธีการปั้นหินเทียม เริ่มจากนำเนื้อโฟมมาร่วมกันขึ้นรูปเอาลวดมามัดหรือใช้ไม้เสียบลูกชิ้นมาเป็นแก่นเพิ่มความแข็งแรง และนำปูนซีเมนมาพอกภายนอก เมื่อแห้งแล้วสามารถเติมสีและตกแต่งได้ตามต้องการ วิธีการนี้ช่วยให้ได้วัสดุที่มีความแข็งแรง อีกทั้งลดปริมาณการใช้ หิน ปูน ทราย ไปได้ 50%

  1. ข้อสังเกตจาการดูงาน

          ขนาดเตาฯเผาพลาสติก สามารถปรับขนาดตามความต้องการได้ แต่ขนาดที่เหมาะกับชุมชน ไม่ต้องใหญ่มากเพื่อไม่ต้องขนย้ายพลาสติกมาจำนวนมาก ควรทำที่ขนาดวันละ 200-240 ลิตร ถ้าหากต้องการใหญ่กว่านี้ก็สามารถทำได้ แต่ถ้าหากทำเล็กกว่านี้จะไม่คุ้มทุน จึงสนับสนุนให้ทำในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกันในกลุ่ม

          ราคาน้ำมันถือว่าเป็นสิ่งที่ผันผวน แต่จุดสำคัญคือต้องทำให้ชุมขนเข้มแข็งและสร้างอำนาจการต่อรองเพื่อกำหนดราคาและผลิตน้ำมันเองได้ เนื่องจากรูปแบบการผลิตแบบนี้หากเทียบกับการกลั่นน้ำมันของบริษัทใหญ่ต้นทุนการผลิตจะสูงกว่ามาก

          สิ่งที่อยากฝากคือเรื่องคาร์บอนเครดิตที่จะช่วยดึงดูดและสร้างแรงจูงใจ ร่วมถึงแนวร่วมชุมชนที่จะช่วยพลังดันไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

บทความแนะนำ