
“ตลาดสีเขียวไม่ใช่เพียงแค่เทรนด์สุขภาพ แต่เป็นพื้นที่ที่สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวทางสังคมที่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบอาหารให้มีความเป็นธรรม ยั่งยืน และเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น”
ข้างต้นคือบทสรุปบางส่วนจากรายงาน “ถอดบทเรียนพัฒนาการเครือข่ายตลาดสีเขียวประเทศไทย” ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ มกย.
ส่วนต้นของรายงานดังกล่าวได้กล่าวถึงความหมายของตลาดสีเขียว หรือที่บางคนอาจเรียกสั้นๆ ว่า “ตลาดเขียว” ที่เป็นมากกว่า “พื้นที่ซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างผู้ขายกับผู้บริโภค” หากแต่เป็นพื้นที่ที่มีมิติซ้อนทับหลายด้าน ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม
รายงานได้อ้างถึงวิทยานิพนธ์ปริญญาโท เรื่อง “การเมืองของอาหาร: การต่อสู้ทางอำนาจในระบบอาหารโลก” ซึ่งศึกษาไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 และได้ระบุว่า ตลาดเขียวคือพื้นที่ในการต่อสู้-ต่อรองและส่งต่อทางอุดมการณ์ของเกษตรกรผู้มุ่งสู่เส้นทางการเป็นผู้ผลิตที่ไม่เพียงผลิตสินค้าแต่เป็นผู้ผลิตที่สร้างเสริม “ระบบสุขภาพอนามัย” ผ่านอาหารปลอดภัย – ปลอดสารพิษ ขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่หล่อหลอมค่านิยมร่วมระหว่างกลุ่มผู้ผลิตและผู้บริโภคในการสร้างและส่งต่อ “ระบอบอาหาร” ทางเลือกที่ผู้ผลิตรายย่อยในท้องถิ่นสามารถเลือกวิถีการผลิตและกำหนดราคาที่เหมาะสมเองได้ บนฐานการสื่อสาร เชื่อมโยงกับผู้บริโภคโดยไม่ถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนรายใหญ่ที่ครอบทับระบบการผลิตและการบริโภคของผู้คนในสังคมมาเนิ่นนานจนสร้างระบอบอาหารที่คับแคบและบีบคั้นเกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภคด้วยการผูกขาดตลาด


แนวคิดอธิปไตยทางอาหาร
ในการถอดบทเรียนพัฒนาการเครือข่ายตลาดสีเขียวประเทศไทยยังได้นำแนวคิด “อธิปไตยทางอาหาร” (Food Sovereignty) มาใช้ โดยอธิบายว่า แนวคิดดังกล่าวให้ความสำคัญกับสิทธิของประชาชนในการกำหนดระบบอาหารและการเกษตรของตนเอง ด้วยการเน้นให้ผู้ผลิตอาหารรายย่อย เช่น เกษตรกร ประมงพื้นบ้าน ร่วมกับผู้บริโภค เป็นผู้ควบคุมและตัดสินใจเรื่องอาหาร แทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดหรือการควบคุมของบริษัทขนาดใหญ่
แนวคิดที่ว่านี้เกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1996 โดยขบวนการเกษตรกรนานาชาติที่มีชื่อว่า “ลาเวียกัมเปซินา” (La Via Campesina) ซึ่งได้นำเสนอแนวคิดนี้ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาหารโลก (World Food Summit) ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี
การนำเสนอแนวคิดนี้เกิดจากการเล็งเห็นว่า ระบบอาหารของโลกในยุคปัจจุบันถูกครอบงำโดยบริษัทขนาดใหญ่ การเกษตรเชิงเดี่ยว และการพึ่งพาสารเคมี ดังนั้นประชาชนควรที่จะมี “สิทธิในการกำหนดนโยบายอาหารและการเกษตรที่เป็นธรรม ยั่งยืน และมีสุขภาพดี” และนั่นเองก็คือความหมายของอธิปไตยทางอาหาร ที่ลาเวียกัมเปซินานิยามไว้
โดยที่มีการเน้นประเด็นสำคัญดังนี้
- อาหารเพื่อผู้คน ไม่ใช่เพื่อการค้า: อาหารควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่สินค้าที่ซื้อขายเพื่อทำกำไรแต่เพียงอย่างเดียว
- ให้คุณค่าแก่ผู้ผลิตอาหาร: สนับสนุนวิถีชีวิตที่ยั่งยืนของผู้ผลิตอาหารรายย่อย และเคารพการทำงานของพวกเขา
- ระบบอาหารท้องถิ่น: ส่งเสริมการผลิตและบริโภคอาหารในท้องถิ่น
- การทำงานร่วมกับธรรมชาติ: ใช้การเกษตรเชิงนิเวศ (Agroecology) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- ควบคุมการผลิตในระดับท้องถิ่น: ประชาชนในท้องถิ่นมีสิทธิในการควบคุมที่ดิน น้ำ เมล็ดพันธุ์ และทรัพยากรธรรมชาติ สร้างความรู้และทักษะ ส่งเสริมความรู้และภูมิปัญญาดั้งเดิมในการผลิตอาหาร


รากฐานอยู่ที่ระบบการเกษตรแบบยั่งยืน
มีนักวิชาการระดับโลกหลายคนเชื่อมโยงแนวคิดอธิปไตยทางอาหารเข้ากับระบบเกษตรกรรมเชิงนิเวศ โดยมองว่าด้วยระบบการเกษตรแบบยั่งยืนเท่านั้น อธิปไตยทางอาหารจึงจะเกิดขึ้นได้จริง
ในการถอดบทเรียนพัฒนาการเครือข่ายตลาดสีเขียวประเทศไทยก็มองเห็นในทำนองเดียวกันว่า จากพลวัตรการดำเนินงานและบทบาทหน้าที่ของตลาดเขียวได้ทำให้กลไกนี้มีส่วนในการเรียกร้องและฟื้นฟูอธิปไตยทางอาหารของชุมชนในพื้นที่ อย่างน้อยด้วยบทบาทหน้าที่ ดังนี้
- การคืนอำนาจให้กับผู้ผลิต: ตลาดสีเขียวช่วยให้เกษตรกรรายย่อยมีอำนาจในการกำหนดราคาและควบคุมช่องทางการจำหน่ายผลผลิตของตนเอง
- การส่งเสริมเกษตรเชิงนิเวศ: ตลาดสนับสนุนการผลิตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการพึ่งพาสารเคมีและเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์
- การสร้างระบบอาหารท้องถิ่น: ตลาดทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของระบบอาหารในท้องถิ่น ลดการพึ่งพาอาหารจากภายนอก


ตลาดเขียวในฐานะปฏิบัติการขับเคลื่อนอธิปไตยทางอาหาร
การเกิดขึ้นของตลาดเขียวในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงยุคแรก มีหลักคิดมาจากเรื่องการสร้างพื้นที่ทางเลือกให้กับเกษตรกรและผู้บริโภคที่ต้องการหลีกหนีจากระบบอาหารกระแสหลักที่ถูกควบคุมโดยบริษัทขนาดใหญ่อย่างชัดเจน
ตลาดเขียวเสมือนเป็นเส้นใยยึดโยงผู้ผลิตและผู้บริโภคเข้าหากันในฐานะเพื่อนร่วมอุดมการณ์ หรือเพื่อนร่วมทางในการแสวงหาทางเลือก ดังที่ปรากฏในหลายๆ กรณีศึกษา ซึ่งพบว่า เมื่อผู้ผลิตบอกเล่าเรื่องราวของกระบวนการปลูกที่แตกต่าง ก็เกิดมีผู้บริโภคที่สนใจเรื่องประเด็นแหล่งที่มาของอาหารมากขึ้น จนเกิดการร้องขอให้จัดกิจกรรมเยี่ยมแปลงปลูก
ครั้นเมื่อได้พบเห็นขั้นตอนการผลิตแบบอินทรีย์ที่ปลอดสารพิษและมีความละเอียดอ่อน ก็เริ่มพัฒนาเป็นความเชื่อใจในตัวผู้ผลิตและวิถีการปลูกตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เสมือนเป็นความเชื่อมั่นหรือไว้ใจในตราสินค้า หรือแบรนด์ จนเกิดการติดตามซื้อผลิตภัณฑ์ “เกษตรอินทรีย์” เป็นประจำ ทั้งของผู้ผลิตรายดังกล่าว และผู้ผลิตรายอื่นที่เลือกใช้เกณฑ์มาตรฐานการผลิตในวิถีเดียวกัน
บางกรณีได้พัฒนาไปสู่ความภักดีต่อผู้ผลิตเฉพาะราย ทำให้แม้ผู้ผลิตจะย้ายพื้นที่จำหน่าย หรือมิได้ไปขายยังสถานที่ประจำที่ผู้ซื้ออยู่อาศัยหรือใช้ชีวิต แต่ผู้ซื้อก็พร้อมจะติดตามไป เนื่องจากเชื่อในวิถีการผลิตและที่มาของสินค้าจากผู้ผลิตรายนี้ ทั้งยังมีการให้เสียงสะท้อนด้านคุณภาพสินค้าให้ผู้ผลิตได้รับทราบเพื่อปรับปรุงต่อเนื่อง
ตลาดเขียวจึงไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ซื้อขายสินค้า แต่เป็นพื้นที่แห่งการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับอาหาร และระหว่างผู้คนกับธรรมชาติ ซึ่งมีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการเป็นวิถีชุมชนจนกระทั่งก้าวสู่การเป็นเส้นทางของอาหารทางเลือกสำหรับคนเมือง
ทั้งนี้ รายงานการถอดบทเรียนจึงมีการสรุปไว้ว่า “ตลาดสีเขียวเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าการสร้างอธิปไตยทางอาหารไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เริ่มต้นได้จากการสนับสนุนเกษตรกรในชุมชนของเรา และการหันมาเลือกซื้ออาหารที่มาจากแหล่งผลิตที่เคารพทั้งผู้คนและธรรมชาติ”


เว็บไซต์และเพจเฟซบุ๊กของมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับตลาดเขียว ทั้ง ในเชิงพัฒนาการ แนวคิด รูปแบบ รวมถึงรูปธรรมของตลาดเขียวในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ในลักษณะซีรีย์หัวข้อ “ตลาดสีเขียวคือพื้นที่ปฏิวัติ” ติดตามการนำเสนอตอนใหม่ได้ทางเพจเฟซบุ๊ก
ขอบคุณภาพจากเพจตลาดเขียวต่าง ๆ