ชวนอ่านบทสัมภาษณ์ พลอย กษมา แย้มตรี สถาปนิกชุมชน และคนทำอาหารที่เชื่อมโยงผู้คน ผ่านบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร ในนาม ”เยียวยาคิทเช่น” แถมด้วยตำแหน่งผู้บริโภคสายเข้ม กินข้าวแบบลึกซึ้ง และจะทำให้การกินข้าวของคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
พลอย คือผู้บริโภคเพียงหนึ่งเดียวที่เราสัมภาษณ์ เพื่อนำเข้าสู่การเฉลิมฉลองข้าวใหม่ของฤดูกาล เทศกาลข้าวใหม่ 2567: ข้าว’ อาหารแห่งรัก(ษ์) เพราะเธอคือผู้บริโภคที่มีมุมมองความรักต่ออาหารที่กิน ความรักต่อเกษตรกรผู้ผลิตอาหาร ยึดโยงเป็นข่ายใยความรักในกระบวนการปรุง สู่เพื่อนร่วมโต๊ะอาหารของเธอ การกินข้าวของเธอจะลึกซึ้งแค่ไหน ลองลิ้มรสจากบทสัมภาษณ์นี้กัน
เมื่อถามว่าข้าวที่ชอบกินเป็นประจำคือข้าวอะไร มาจากพื้นที่ไหน พลอยบอกว่า มีที่อยู่ติดครัว เป็นประจำอยู่ 3 สายพันธุ์ แต่ละพันธุ์ก็ใช้ในโอกาสที่แตกต่างกัน เช่น กินเวลาไม่สบาย ก็จะเลือกข้าว ไบโอไดนามิกของเพื่อนในกลุ่ม เรารู้สึกว่าข้าวนี้มีพลังชีวิตสูง ส่วนถ้าเอามาทำแหนม ซึ่งเป็นเมนูที่ชอบทำกินและทำจำหน่ายด้วย ก็จะใช้ข้าวหอมใบเตยของพื้นที่มหาสารคาม ส่วนข้าวที่กินประจำทุกวัน คือ ข้าวผกาอำปึล ของพื้นที่จังหวัดสุรินทร์
“ข้าวผกาอำปึลของพ่อภาคภูมิ คือจริง ๆ เราไม่ได้มีแบล็กกราวด์เกี่ยวกับข้าวพันุธ์นี้มาก่อนเลย รู้จักจากงานเทศกาลข้าวใหม่ของปีหนึ่งที่จัดที่มูลนิธิเกษตรฯ นานแล้ว ได้กินครั้งแรกก็รู้สึกเลยว่า มันมีความอบอุ่น ละมุน และสมบูรณ์ เวลาที่เอาข้าวเข้าปาก ตอนที่มันอยู่บนลิ้นของเรา อันนี้เป็นความรู้สึกนามธรรมมาก ๆ แต่มันเป็นความรู้สึกเดิมทุกครั้งที่กิน มันทำให้รู้สึกเสถียรมาก พอกินข้าวอันนี้แล้วไปกินข้าวอันอื่น มันจะรู้เลยว่าส่วนผสมมันไม่ครบบนลิ้นของเรา มันจะบาดลิ้น มันเป็นความรู้สึกเหมือนมีอะไรคม ๆ แล้วเราจะรู้สึกว่ามันไม่อบอุ่น ละมุน และสมบูรณ์ คือเราเสพข้าวในความเป็นนามธรรมของมัน เสพสุนทรียะของมัน เสพความรู้สึกที่ดีที่เราได้จาก มันมากกว่าที่กินข้าว
“ส่วนหอมใบเตย สำหรับเรามันจะไม่อร่อยที่สุดถ้าเรากันข้าวนี้กับกับข้าว มันมีความเฉพาะตัวสูง เขาชัดเจนว่าเขาคือใคร แต่สำหรับเรา หอมใบเตยมันพิเศษกับบางเมนูที่เราชอบทำ ก็คือแหนม พอใช้หอมใบเตยทำแหนม ค้นพบว่ามันเป็นตัวกลางไปทำให้เนื้อสัตว์มีความละมุนมากขึ้นอาจจะเป็นเพราะหอมใบเตยมีความเป็นยางหรือเหนียวกว่าข้าวอื่น ๆ มันเป็นตรงกลางระหว่าง ข้าวที่นิ่มเหมือนข้าวขัดขาวทั่วไปกับข้าวกล้องที่มันแข็งกว่ามีความติดเปลือก เวลาที่แหนมมันได้ที่ เราจะไม่รู้สึกถึงเมล็ดข้าวที่ชัดมาก แต่จะรู้สึกว่ามันมีแกนบางอย่างของเมล็ดอยู่ตรงนั้น แต่มันไม่เละ” พอได้ฟังรายละเอียดที่พลอยสื่อสารออกมาแล้วก็อยากสัมผัสรสชาติข้าวหอมใบเตยในแหนมหมูที่ พลอยทำขึ้นมาทันที
เมื่อถามความเชื่อมโยงระหว่างการกินข้าวกับความรัก การรักษา หรืออนุรักษ์ พลอยตอบคำถามนี้ว่า
“ทุกครั้งที่กินข้าว ความรู้สึกมันจะเป็นสองเลเยอร์ทับกันอยู่ อันแรก เราจะนึกถึงบทสนทนาที่เรามี กับครอบครัวเกี่ยวกับข้าวใหม่ ข้าวเก่า ข้าวนี้มาจากนาของลูกศิษย์คนนั้นคนนี้ของแม่ มันเป็นพลัง ความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการกินข้าวในจานของเรา เรารู้สึกได้ถึงความรักความอบอุ่นใน ครอบครัว มันไปถึงตรงนั้น แต่ในขณะเดียวกัน ระหว่างกระบวนการหุง การตักข้าวสารออกมา เอามาซาวน้ำ กำลังติดไฟ เราจะนึกถึงหน้าของเกษตรกรที่เขาผลิต แล้วเราจะรู้สึกขอบคุณเขามากเลยที่ผลิตข้าวพวกนี้ออกมาให้
ซึ่งเรารู้สึกว่าการขอบเกษตรกรคุณนี้ หรือการระลึกถึงใบหน้าของผู้ผลิต มันเป็นยึดโยงสำคัญที่ทำให้ เรายังคงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนที่ผลิตข้าว ทั้งที่เราไม่ได้รู้จักกันเลย และความสัมพันธ์ตรงนี้ สำหรับเรามันก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการร่วมรักษาพันธุ์ข้าวโดยที่ไม่ได้ตั้งใจที่จะมุ่งประเด็นนี้โดยตรง แต่ว่าด้วยการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างการกินของเรา และการขอบคุณที่เรามีต่อเขา มันเลยทำให้ การคงอยู่ของเราในการร่วมรักษานี้มันยาวนาน”
“ความผูกพันหรือความสัมพันธ์ตรงนี้ที่มันมีต่อคนที่เราไม่ได้รู้จักด้วยซ้ำ แต่เรารู้ว่าเขาเป็นใครและเขา ทำอะไร มีการส่งต่อสิ่งนี้มาให้เรา อันนี้สำหรับเราคือโคตรมั่นคงเลย แล้วก็ยาวนานมากและสำคัญ คือมันจะอยู่อย่างนี้ไปโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะมีวันจบหรือเปล่า แต่ถ้าวันนึงเราไปเจอข้าวที่มันรู้สึกสมบูรณ์กับเราใน ช่วงเวลานั้นกว่าผกาอำปึล แต่การสนับสนุนบางอย่างก็จะเกิดขึ้นระหว่างเราและผกาอำปึลและเกษตรกรที่ผลิตผกาอำปึลนี้ ซึ่งไม่รู้นะว่ามันจะเป็นยังไง แต่ว่ามันมีการสนับสนุนแน่นอน”
สำหรับเรา เรารู้สึกว่าการกินข้าวที่มาจากผู้ผลิตแบบนี้ ที่อยู่ในเครือข่ายพวกเราที่ตั้งใจผลิต ในระบบที่เป็นธรรมชาติที่สุด มันเป็นการส่งต่อความดีงามและพลังงานที่ดีมากๆ ที่เราสัมผัสได้ มาถึงตอนนี้ตัวข้า มัน ก็จะไม่ใช่แค่สสารอีกต่อไปแล้ว ตัวผลผลิตมันก็จะไม่ใช่แค่วัตถุที่เรากินเข้าร่างกาย ทำให้เราเติบโต หรือว่าเชื่อมโยงเรื่องสุขภาพอย่างเดียว แต่เรากินเพราะว่าเรารู้สึกถึงพลังที่ดี ไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิต ที่เกิดมาจากธรรมชาติทั้งหมดก่อรวมกัน หรือว่าเป็นพลังที่่ดีที่เกิดมาจากความตั้งใจดีของผู้ผลิต คือเราอาจจะแคร์เรื่องความตั้งใจอันดีของผู้ผลิตมาก และพอรู้สึกมาก มันก็เลยทำให้เราเลือกที่จะอยู่กับความตั้งใจที่ดีผ่านวัตถุดิบต่างๆ ที่เกษตรกรผลิตมา เพราะฉะนั้นเป็นเวลาหลายปีแล้วที่เรา ไม่กินข้าวนอกเครือข่ายเราเลย
แล้วเมื่อเราปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอมา 4 – 5 ปี เรารู้เลยว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีกับชีวิตของเรา เช่น ความรู้สึกข้างในสมดุลขึ้น อารมณ์ที่เรารู้สึกเหมือนอาจจะแกว่งขึ้นแกว่งลงได้ง่าย สวิงได้ง่าย สำหรับเรามัน เสถียรภาพมากขึ้น อันนี้จากการสังเกตของตัวเองและเราก็คิดว่าคนที่อยู่ใกล้ชิดก็เห็นว่าเราเปลี่ยนไป”
“สำหรับเรา ข้าวมันเป็นเมล็ดพันธุ์ มันไม่ใช่ปลายทาง แล้วการที่เรากินเมล็ดพันธุ์ที่มันมีความสมบูรณ์และสมดุล มันจะสนับสนุนการเติบโตที่ดีของเรา สำหรับเราอันนี้คืออิทธิพลที่มีพลังแรงกล้ามาก
เพราะลองนึกถึงเมล็ดพันธุ์หนึ่งเมล็ด แค่ดูฟอร์มของมันจากภายนอก เราสงสัยเสมอว่า มันเติบโตมาเป็นก้านเป็นกิ่งเป็นดอกได้ยังไง มันรวมอะไรอยู่ในนั้น ไอ้ลูกระเบิดนี้ และที่มันจะระเบิดออกมาเป็นพลังที่ดี เข้ามาอยู่ในตัวเรา เข้ามาผ่านตัวเรา ความเป็นเมล็ดพันธุ์นี้มันมีพลังมหาศาลมาก เพราะฉะนั้นถ้าเรา ไม่เลือกเมล็ดพันธุ์ปั๊บ เราอาจจะยับได้”
สำหรับงานเทศกาลข้าวใหม่มีความสำคัญกับพลอย ไม่ใช่เพียงการได้กินข้าวใหม่ แต่เชื่อมโยงไปถึง ความรู้สึกขอบคุณผู้คนและสิ่งรอบตัว
“เราเคยมีประสบการณ์ทำงานในวัยเด็กของเรากับกลุ่มพี่น้องปกาเกอะญอที่เขามีพิธีกรรมข้าวใหม่ทุกปี ทุกวันนี้จะนึกถึงพิธีกรรมนั้นเสมอ สำหรับเรา การกินข้าวใหม่ไม่ได้สำคัญเท่าการที่เราเอาข้าวใหม่นั้นไป ขอบคุณเครื่องมือ หรือขอบคุณองค์ประกอบในชีวิตที่ทำให้เรามีชีวิตมาจนถึงวันสุดท้ายของปี มันมีพลัง สำหรับชีวิตมาก และทำให้เกิดการปฏิบัติต่อเนื่องในชีวิตเรา ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ในวัฒนธรรมนั้นก็ตาม มันทำให้เราระลึกถึงสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด แล้วมันมีกระบวนการแสดงความขอบคุณอย่างง่าย ชัด และไม่ ซับซ้อน
สิ่งที่เขาทำคือ เขาเอาข้าวใหม่ที่หุงกับกับข้าวไปวางตามมีดพร้า ตามเตา ตามพื้น ตามก้อนหินจุดไฟ สำหรับเรา เรารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันละเอียดและงดงามมากที่เกิดการขอบคุณขึ้น แล้วเราก็กลับมามองว่า ในชีวิตเรามีเครื่องมืออะไรบ้าง หรือเรามีใครในชีวิตบ้างที่เราจะต้องไปแสดงความขอบคุณอย่างง่ายแบบนี้ มันอาจไม่ใช่การเอาข้าวไปวางให้เขา แต่เรามองไปที่คอมพิวเตอร์ของเรา มองไปที่โต๊ะ มองไปที่ต้นไม้ ที่เรามองทุกวัน มันคือเครื่องมือประกอบร่างที่เป็นเราในปีนี้ ข้าวมันทำให้เราเห็นจุดที่ละเอียดมากขึ้น ในส่วนประกอบในชีวิต”
พลอยเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของการตักอาหารเข้าสู่ปาก เราจึงขอให้พลอยแนะนำขั้นตอน หรือเชื้อเชิญให้คนมีหันมากินข้าวด้วยความรักและความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น
อันที่หนึ่ง อย่ากินข้าวคนเดียวตลอด ควรให้เปอร์เซ็นต์การกินข้าวร่วมกับผู้อื่นให้มันสมดุลกับ การกินข้าว คนเดียวด้วย การกินข้าวร่วมกับคนอื่น มันจะเกิดความผูกพันใหม่บางอย่างผ่าน กระบวนการกินร่วม และกระบวนการกินร่วมนั้น เราว่ามันจะมีความหมายบางอย่างเกิดขึ้น
อันที่สอง กินข้าวด้วยความสงบ หมายถึงว่า ใส่ใจกับสิ่งที่กิน อย่าเล่นโทรศัพท์ แล้วก็เคี้ยวข้าว ให้นาน แล้วเซนส์มันจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ”
อยากให้พลอยทิ้งท้ายเชิญชวนทุกคนมางานเทศกาลข้าวใหม่ปีนี้
“เราคิดว่างานข้าวใหม่เป็นงานเฉลิมฉลองของการเปิดประตูใหม่สู่ปีใหม่ของชีวิต เราควรจะมาเฉลิมฉลอง เราควรจะมาอยู่กับความเบิกบานกัน และสัมผัสได้ถึงพลังแห่งเมล็ดพันธุ์ที่ถูกสร้างสรรค์ไว้จากคนที่ตั้งใจ จากธรรมชาติที่ตั้งใจเหมือนกัน
เรารู้สึกว่าแค่มาสัมผัส ชิมข้าวหนึ่งอย่างจากความตั้งใจเหล่านี้ ยังไงชีวิตมันก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีแน่นอน มันจะมีอะไรบางอย่างที่แทบเปิดประตูให้เราไปรู้ไปเข้าใจระลึกอะไรได้มากขค้นได้แน่นอนเลย เรื่องอะไรไม่รู้ แต่ว่าสำหรับเรา รู้สึกถึงขั้นว่ามันสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในได้”
เทศกาลข้าวใหม่ปีนี้ ชวนเพื่อนมากินข้าวใหม่ มาร่วมเฉลิมฉลองกับเกษตรกร สร้างบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร เรื่อง ‘ข้าว’ อาหารแห่งรัก(ษ์) ไปด้วยกัน
วันที่ 23 ธันวาคม 2566 เวลา 9.00 – 16.30 น.
ณ สวนผักคนเมือง มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน(ประเทศไทย) ไทรม้า นนทบุรี
ขอบคุณผู้สัมภาษณ์ ใหม่ นันทนิตย์ อนุศาสนะนันทน์ เจ้าของเพจ ว่าง space & anything