ตอน: การเสริมสร้างพลังให้กับชุมชนมุ่งสู่ความยั่งยืน
โดย รศ.สมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองแห่งชาติ
จากข้อมูลสถิติชาวนาที่ลงทะเบียนกว่า 4.68 ล้านคนนั้นถือว่าจำนวนชาวนามีจำนวนค่อนข้างมากสำหรับการผลิตข้าว แต่หากเทียบกับรายได้ที่ชาวนาได้รับพบว่าชาวนาไม่ได้มีรายได้ที่ทำให้ครัวเรือนดีขึ้นมากนักแม้ว่าอยู่ในเขตพื้นที่ชลประทานก็ตามด้วยต้นทุนการผลิตข้าวต่อไร่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 7.5 บาท/กก แต่จำหน่ายได้เพียง 7.8 บาท/กก จากความผันผวนของกลไกราคาข้าวที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตชาวนาโดยเฉพาะมิติด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก หากพิจารณาถึงเรื่องการปรับตัวด้านการผลิตของชาวนานั้นมีความสัมพันธ์กับต้นทุนการผลิตที่ต่างกัน เช่น ขนาดพื้นที่ดินทำกิน เงินลงทุน ทรัพยากรแหล่งน้ำ องค์ความรู้ ฯลฯ โดยเฉพาะชาวนากลุ่มเปราะบางที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่นอกเขตชลประทานและมีต้นทุนการผลิตที่จำกัดนั้นอาจมีการปรับตัวได้ยาก อย่างไรก็ตามการปรับตัวที่เกษตรกรสามารถปรับตัวได้เบื้องต้นคือการปลูกพืชผสมผสานที่เกษตรกรสามารถสร้างรายได้วัน สัปดาห์ เดือน และปี เพื่อให้มีรายได้ต่อเนื่อง
ข้อเสนอแนะต่อแผน 13
- เน้นทำงานชุมชนโดยนำเรื่องภูมินิเวศเป็นศูนย์กลางในการยกระดับชาวนาให้พ้นจากการเป็นหนี้สินและมีรายได้ที่สูงขึ้นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการผลิต
- การสร้างพลังในชุมชนผ่านการสร้างเครือข่ายเพื่อสร้างทางเลือกให้กับชุมชนในการจัดการห่วงโซ่การผลิต เช่น การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือการทำเกษตรอินทรีย์ โดยมีการนำหลักคิดการทำเกษตรผสมผสานควบคู่กับการผลิตที่สามารถเก็บเกี่ยวเพื่อเป็นแหล่งอาหาร และสร้างรายได้จากผลผลิตที่หลากหลายได้อย่างต่อเนื่อง
- การส่งเสริมการเกษตรของรัฐในปัจจุบันนั้นยังไม่สามารถยกระดับการผลิตของชาวนาได้มากนัก ดังนั้นรัฐควรมีทิศทางการส่งเสริมในการปรับโครงสร้างด้านการผลิตที่ทำให้ชาวนามีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ดังเช่นกรณีการส่งเสริมการเกษตรของเวียดนามที่ใช้หลัก 3 ประสาน ในการยึดหลักสามลดสามเพิ่ม คือ การเพิ่มคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มกำไร ลดค่าปุ๋ย ลดค่าสารเคมี และลดค่าเมล็ดพันธุ์ จากนั้นมีการปรับโครงสร้างการผลิตข้าวที่จากเดิมเป็นข้าวพื้นแข็งเป็นข้าวพื้นนุ่ม โดยสามารถเพิ่มมูลค่าด้านการตลาดให้กับข้าวที่ส่งออกที่เพิ่มขึ้นจาก 370 เหรียญ เป็น 500 เหรียญ เวียดนามเคยส่งออกข้าวพื้นนุ่มประมาณ 1 แสนตันในช่วง 10 ปีที่แล้ว แต่ในปีที่ผ่านมาเวียดนามสามารถส่งออกได้ถึง 3 ล้านกว่าตัน นอกจากนี้การส่งเสริมชาวนาในพื้นที่นั้นได้พยายามให้ชาวนาปรับตัวโดยการปลูกพืชผสมผสานมากขึ้นแม้ว่าชาวนาจะมีที่ดินจำกัดก็ตามแต่ชาวนาก็สามารถปรับตัวได้ ดังนั้นหากต้องการให้ชาวนาหลุดพ้นจากกับดักของความยากจนหรือหนี้สินนั้น การสร้างพลังในชุมชนเป็นสิ่งที่สำคัญด้วยการออกแบบร่วมกับชุมชนเป็นส่วนหนึ่งที่จะสามารถส่งต่อให้กับการผลิตของชุมชนใกล้เคียงเพื่อเป็นการยกระดับรายได้ของเกษตรกรให้ดีขึ้น
- การส่งเสริมชาวนาปรับตัวในเรื่องห่วงโซ่การผลิตเพื่อเป็นการส่งให้กับตลาดเฉพาะ (Niche market) ที่ถือเป็นตลาดทางเลือกให้กับเกษตรได้ เช่น การผลิตข้าวคุณภาพเพื่อส่งให้กับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ การแปรรูปฟางข้าว การปรับตัวเป็นผู้ประกอบการ ฯลฯ เป็นต้น
- การช่วยเหลือของรัฐแทนที่จะให้ในรูปของการช่วยเหลือโดยตรงดังเช่นในปัจจุบันนั้นให้เปลี่ยนเป็นการช่วยให้เข้าถึงปัจจัยการผลิต เช่น ที่ดินทำกิน การเข้าถึงแหล่งน้ำ ที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตที่เป็นส่วนที่ทำให้ยกระดับคุณภาพของผลผลิตและทำให้ชาวนามีทางเลือกในการทำเกษตรได้มากขึ้น
อ้างอิง: สัมมนาออนไลน์ ครั้งที่ 2 ข้อเสนอแนะต่อแผน 13 “ชาวนาอยู่ตรงไหนในแผน 13”, สัมมนาโต๊ะกลม “เส้นทางที่ชาวนาไทยเลือก (เดิน): ข้อเสนอต่อแผนฯ 13 จากเครือข่ายเกษตรกรรมและภาควิชาการ” วันที่ 7 ธันวาคม 2564 เวลา 13.30-16.30 น.