โทรศัพท์

096 948 1913

อีเมล์

sathaiaan@gmail.com

เวลาเปิด

จันทร์ - ศุกร์: 9:00 - 17:00

          จากคำถามที่ว่า “เมื่อการทำนา การปลูกข้าวมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ชาวนาต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม โรคระบาดในนาข้าว นกกินข้าวจนไม่ได้ผลผลิต  ผลผลิตข้าวตกต่ำ ราคาข้าวไม่ดี  ข้าวปีก่อนยังระบายไม่หมด วิกฤตของชาวนาเกิดขึ้นมาโดยตลอด แต่ทำไมถึงไม่หยุดทำนา?”

          ในงานเทศกาลข้าวใหม่ 2567 นี้ จึงถือโอกาสพูดคุย ตั้งคำถามแบบล้วงลึกกับชาวนา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำงานเชื่อมโยงกับข้าวและชาวนา ในเครือข่ายของเราว่า ทำไม? เพราะอะไร? ถึงยังมุ่งมั่นในการทำนา ผลิตข้าว แปรรูปข้าว สรรหาสารพัดวิธีที่จะช่วยให้ข้าวพื้นบ้าน ข้าวอินทรีย์ได้รับการยอมรับจากคนกิน อยู่ในจานข้าวหลักของเรา อยู่ในความรักของคนกินให้มากขึ้น

พ่อส่ง บุญส่ง​ มาตขาว​ ประธาน​เครือข่ายเกษตรกรรม​ทางเลือกจังหวัดยโสธร  ได้ร่วมพูดคุยกับเราในประเด็นนี้มุมมองความคิดและความรัก(ษ์) ของพ่อบุญส่ง
          “เราเป็นชาวนา​ เราต้องไม่จำนนอยู่กับสิ่งที่เราทำมาแล้ว แต่มันไม่พัฒนาไปไหน ​ นับวันมีแต่จะจนลง​ หนี้สินเพิ่มขึ้น​ เรา(ชาวนา)ก็เลยต้องต่อสู้​ แล้วก็หาทางรอด​ ทางออกที่จะพัฒนาตัวเอง​ พัฒนาอาชีพชาวนา​ อาชีพ​เกษตรกร​ ให้มีรายได้​ ให้เกิดการยอมรับ​ เราก็เลยต้องยกระดับตัวเองขึ้นมา”

          ก็เลยมาคิดเรื่องเกษตรกรรมยั่งยืน​ คิดเรื่องการผลิตที่หลากหลาย​ คิดเรื่องการทำแบบครบวงจร​ ทั้งการผลิต​ การแปรรูป​ การตลาด​ ในเมื่อเราเป็นผู้บุกเบิกมาก่อนคนอื่น ทำมาแล้วหลายสิบปี​ เราก็ต้องพัฒนาเรื่องข้าวอินทรีย์ไปให้สุดสายพาน​ ทำให้เจอทางรอด​ มีรายได้เพิ่มขึ้น​ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น​ และเกิดความภูมิใจในอาชีพนี้

          ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่ยุคชาวนาหากินเหมือนแต่ก่อน​ จากทำนาเพื่อกิน ก็เปลี่ยนไปเป็นการทำนาค้าขาย​ไปด้วย พัฒนาตามระบบสังคม​ ระบบทุนนิยม​ที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับวิถีของชาวนาเพิ่มขึ้น​ เราต้องปรับตัว​ รู้จักผลิตให้เป็น​ แปรรูปให้ได้ และขายให้เป็น

          ตอนนี้มีความท้าทาย มีความลำบากมากมายที่ชาวนาต้องเผชิญ แต่ถามว่าทำไมยังทำนาอยู่ ทำไมยังยืนหยัดในการทำนาอินทรีย์  และข้าวพื้นบ้าน ถ้าพูดให้จบกระบวนการ​ มันขึ้นอยู่กับใจ​ใจที่เรามุ่งมั่นว่าเราจะทำอาชีพนี้แหละ​ หากเราไม่ได้คิดว่าจะไปทำอย่างอื่นแล้ว​ แต่เราก็ต้องศึกษาค้นคว้า​ และก็พร้อมที่จะเอามาปรับใช้กับอาชีพของเรา​ เพื่อให้มันสอดคล้องและเหมาะสมกับวิถีชีวิต​ตรงนี้​  เหมือนกับว่าชาวนาอย่างเรา​ต้องทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้วอยู่ตลอด​ พร้อมที่จะรับฟัง พร้อมที่จะน้อมรับสิ่งที่มีประโยชน์​มาปรับใช้และพัฒนา​ ให้สามารถเกิดการยอมรับ​ หรือเกิดพัฒนาการที่ดีขึ้น​ ผลผลิตได้เพิ่มขึ้น​ คุณ​ภาพชีวิตดีขึ้น​ มันก็ทำให้เรารักในอาชีพ​นี้

          เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องชัดเจนว่าเราเป็นชาวนา​ ไม่ใช่ผู้จัดการนา​ ถ้าเป็นผู้จัดการนา​ มันไปไม่รอด​ มันจะขาดทุน เราต้องรักการใช้แรงงาน​ ต้องทำเอง​ก่อน ไม่ต้องไปเที่ยวจ้างเขาทุกอย่าง​ อันไหนที่เราทำไม่ได้​ เราก็จ้างเพิ่มเติม และถ้าเราทำให้มีคุณภาพ​ ไม่ใช้สารเคมี​ ทำเกษตรอินทรีย์​ ก็ได้ทั้งสุขภาพ​ ได้ทั้งสิ่งแวดล้อม​ ได้ทั้งสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคเขาเห็นดีเห็นงามไปกับเรา​ ก็มีเครือข่าย​ ได้พี่ได้น้องเพิ่มขึ้น​ มันก็ทำให้เราภาคภูมิ​ใจ

“เกษตรกรต้องปรับเปลี่ยนแนวคิด​ ปรับเปลี่ยนระบบการผลิต​ หันมาพึ่งพาตนเอง​มีองค์ความรู้ในการตั้งรับ ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ​ ต้องรู้จักพันธุ์​ที่มันเหมาะสม

ในช่วงหลายปีมานี้​ มีปรากฏการณ์​ใหม่เกิดขึ้น​ คือ​ ช่วงดำนาไม่มีน้ำ แต่พอเกี่ยวกลับมีน้ำ​ ดำนาแห้ง​ เกี่ยวข้าวน้ำ​ แต่ชาวนาที่เขารู้สถานการณ์​ดี​ เขาก็ขยับเวลาลงนา ปลูกข้าวให้ช้ากว่าเดิม  แต่ข้อด้อยของข้าวทางอีสาน​ มันเป็นข้าวไวแสง​ เมื่อแสงเปลี่ยน​ มันก็จะเริ่มออกรวง​ ก็เลยทำให้บางทีต้องลุยน้ำเกี่ยว​ เพราะมันถึงเวลาที่ต้องเก็บเกี่ยวแล้ว ​

ดังนั้น​  เครือข่ายของเราจึงต้องพยายามพัฒนาสายพันธุ์ข้าว​ และพยายามหาพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่​  เหมาะกับความเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายมาก  ถ้าเราได้สายพันธุ์ข้าวที่ลงตัวแล้ว​ เราก็ต้องอนุรักษ์​พันธุ์ข้าวเอาไว้ ​ ปลูกให้มีตลอด​ และต้องบันทึกข้อมูลไว้​ว่านารอบนี้​ ช่วงนี้​ ต้องใส่ข้าวพันธุ์ไหนถึงจะไม่มีปัญหา​ ต้องเป็นชาวนาที่มีข้อมูล​ มีความรู้​ มีภูมิปัญญา​ในการปลูกข้าวแต่ละสายพันธุ์​ และต้องรู้จักปรับตัว​ ไม่ใช่ว่าเคยชิน​ ทำแบบไหนมาก็เอาแบบนั้น

ตอนนี้ในกลุ่มพื้นที่ตำบลกำแมด อำเภอกุดชุม​ จังหวัดยโสธร ปลูกข้าวเพื่อรักษาพันธุ์ไว้​ 30-40 สายพันธุ์​ เพื่อเป็นการอนุรักษ์และเพื่อศึกษาเรียนรู้​ ส่วนที่ปลูกเพื่อการค้าขาย​ มีอยู่เกือบ​ 10  สายพันธุ์​ ได้แก่​ หอมมะลิ​ หอมมะลิแดง​ ไรซ์เบอรี่​ หอมนิล  ข้าวเหนียวแดง​ ข้าวเหนียวดำ​ ข้าวเหนียวขาว​ และก็ปลูกข้าวเพื่อแปรรูป​ อย่างข้าวเล้าแตกก็เอาไปทำข้าวโป่ง​ ข้าวเจ้าแดง​ เอาไปทำเส้นขนมจีน​

จากจุดยืนที่ชาวนาให้ความสำคัญกับการพัฒนา และอนุรักษ์สายพันธุ์ข้าวนี้เอง เมื่อถามว่าตอนนี้ในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างไรจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบ้าง ต้องตอบตามตรงว่า ในพื้นที่ตอนนี้ยังไม่เห็นผลกระทบใดที่เด่นชัด ยังไม่มีพันธุ์ไหนที่ไม่ให้ผลผลิตจากภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ผ่านมา

เมื่อพูดถึง ‘ข้าว’ อาหารแห่งรัก(ษ์)  พ่อบุญส่งอยากบอกอะไรกับคนอ่าน ซึ่งอาจจะเป็นทั้งชาวนา เกษตรกร ผู้บริโภค คนแปรรูป หรืออาจจะเป็นผู้ประกอบการก็ได้  “เราอยากให้คนได้รู้จักข้าวพื้นบ้าน​ เห็นความสำคัญของข้าวพันธุ์​พื้นเมือง​ของเรา​ ถ้าเราไม่อนุรักษ์​ไว้​ มันก็จะสูญหาย​ไป​ และเราก็อนุรักษ์ไว้เพื่อจะพัฒนาพันธุ์​ต่อ​ อย่างข้าวเจ้าเหลือง

แต่ว่าข้อด้อยของมันคือให้ผลผลิตต่ำ​ เลยไม่ค่อยมีใครอยากปลูก​ กลุ่มอนุรักษ์​เราก็เลยพยายามเอาข้าวที่มีผลผลิตสูงมาผสม​ แต่ว่าทำให้คุณค่าโภชนาการคงที่​ และอีกส่วนที่เราจำเป็นต้องอนุรักษ์​ความหลากหลายนี้ไว้​ เป็นเรื่องของวิถีชีวิต​วัฒนธรรม​ของชุมชน​ อีสานเราจะมีฮีต 12​ คอง 14​ งานบุญต่างๆ​ ที่ใช้ข้าวในพิธีกรรม”

และในโอกาสที่เราจัดงานข้าวใหม่ในปีนี้​ เราถือว่าเป็นภารกิจของเครือข่าย​ในการเชื่อมโยงผู้บริโภคกับผู้ผลิตให้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น​ ได้เข้าใจ​ ได้สร้างสายสัมพันธ์​ความเป็นพี่เป็นน้อง​ และสร้างโอกาสให้กับชาวนา​ ให้เขามีความภูมิใจ​ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น​ ก็ขอให้พี่น้องได้มาร่วมงาน​ หรือว่ามาช็อป​ มาชิม​ มาทดลองรสชาติข้าวของประเทศไทย​ ว่ามีหลากหลายรสชาติ​ มีคุณค่าโภชนาการ​ที่ต่างกัน​ ได้มาศึกษา​เรียนรู้​ ถามข้อมูลจากเกษตรกร​หรือจากผู้ผลิตในงานนี้

“และในส่วนตัวจริงๆ อยากเรียกร้องให้ผู้บริโภคใส่ใจกับกระบวนการผลิต​ถ้าการผลิตนั้นไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม​ ไม่ทำลายคุณภาพชีวิตของเกษตรกรด้วยกัน​ ก็ควรจะสนับสนุน​ ควรจะส่งเสริม​ บริโภคเพื่อรักษาอาชีพชาวนา​ บริโภคเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม​ แม้ว่าราคามันจะแตกต่างกับเกษตรเคมีบ้างนิดหน่อย​ เราก็ควรเสียสละส่วนต่างที่เพิ่มขึ้น​ เพื่อให้ชาวนาได้มีกำลังใจในการทำความดีต่อผู้บริโภค​ และเพื่อให้ชาวนามีที่เหยียบที่ยืน​”

บทความแนะนำ