
“อิ่มแต่ไส้ไม่พอ ถ้าใจยังแห้งอยู่ ต้องกลับมาเติมใจให้ชุ่มชื้น เติมไส้ให้อิ่ม สิ่งที่ค้นพบ แม้ออกไปหาเงินไกลแค่ไหน แต่ใจยังแห้งแล้งอยู่ ชีวิตก็คงอยู่ไม่ได้” คุณเสาวนีย์ สุทธิชล บอกเล่าถึงความคิดเบื้องหลังอันเป็นที่มาของการก่อตั้งกลุ่มยาไส้ยาใจ ภายใต้เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคใต้
จากโจทย์พื้นฐานที่ว่า อุดมการณ์และปากท้องจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร จึงเป็นที่มาของการเลือกทำการงานที่เป็นทั้งการทำมาหาเลี้ยงชีพในเชิงร่างกาย หรือ “ยาไส้” ให้ได้ ขณะเดียวกันก็หล่อเลี้ยงอุดมการณ์ให้คงอยู่ได้ด้วย เพื่อ “ยาใจ” ให้เต็มอิ่ม
เสาวนีย์เล่าว่า เดิมทีเธอทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งเป็นการทำงานภายใต้โครงการที่ไม่แน่นอนและต้องคอยตอบโจทย์แหล่งทุน ยิ่งกว่านั้นคือผลลัพธ์ทางลบด้านเศรษฐกิจ
“เราไม่เคยยาไส้ได้เลย ชีวิตถ้าหล่อเลี้ยงตัวเองไม่ได้ก็ไปต่อไม่ได้ ความสุขที่บอกว่าเราจะทำงานเพื่อสังคม ทำงานเพื่อผู้อื่น เราจะลุกมาเปลี่ยนแปลงสังคมให้ได้ มันเป็นจริงไม่ได้เลย เมื่อเราไม่มีอะไรที่หล่อเลี้ยงชีวิตต่อไป ภายใต้งานพัฒนา ถ้าชีวิตดำเนินไปภายใต้อุดมการณ์อย่างเดียวชีวิตไปไม่รอด เมื่อทำงานกับชุมชน เราหวังให้พี่น้องพึ่งตนเองให้ได้ แต่คนทำเองก็พึ่งตนเองไม่เคยได้เลย เหล่านี้เป็นความเจ็บปวด เราเลยกล้าที่จะบอกว่า ถ้ามันไม่ใช่ เราต้องกล้าที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยน”
ดังนั้น เธอจึงออกจากวงการ NGO ไปหลายปี เปลี่ยนไปทำงานเพื่อยาไส้ให้รอด โดยเคยไปทำงานที่ประเทศลาวอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจกลับบ้านที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อพบความจริงที่ว่า แม้ยาไส้สำเร็จ แต่ใจกลับห่อเหี่ยว
“ประสบการณ์ไปทำงานที่ลาวทำให้เราเรียนรู้ว่า ต่อให้มีเงิน มีอำนาจ มีคนสนับสนุน สุดท้ายแล้วเราก็ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้เลย ที่สุดจึงกลับมา แม้มีเงินแต่หัวใจเริ่มฝ่อลง ความสุขเริ่มหายไป แล้วชีวิตต้องการอะไร เราจึงกลับบ้าน”
เสาวนีย์มีเป้าชัดเจนว่า เธอกลับบ้านมาเพื่อทำอะไร
“เราเห็นทรัพยากรที่บ้านเรามีอยู่เต็มมือ แต่ทำไมคนบ้านเราถึงยังยากจน ทำไมถึงยังไม่สามารถพึ่งตนเองได้ เหล่านี้เป็นโจทย์ให้เรากลับไปบ้านและค้นให้เจอว่ามันคืออะไร เราเจอเมล็ดพันธุ์ใหม่ ๆ ที่สร้างคุณค่า-มูลค่าได้ กลับไปเห็นต้นไม้ต่าง ๆ ที่กำลังจะหายไป เราสามารถทำให้เกิดเพิ่มหรืออนุรักษ์ได้หรือไม่ และเก็บมาสร้างมูลค่า
“เรากลับมาเพื่อปลูกในผืนดินตัวเองให้พืชเติบโตขึ้นให้ได้ การกลับไปสู่การเก็บเมล็ดพันธุ์ตนเอง ซึ่งเครือข่ายเกษตรกรรมช่วยบ่มเพาะไว้ เรากลับมาเก็บเมล็ดพันธุ์และปลูก”
อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่เธอเลือกเดินไม่ได้สวยงามและง่ายดาย สิ่งที่เธอคิดและทำไม่ได้รับการตอบรับจากคนทางบ้านสักเท่าไร
“การกลับบ้านหลายคนอาจจะได้รับการต้อนรับที่ดี แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน ช่วงเวลาที่เราถอยเข้าบ้านเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวไม่ยอมรับ ชุมชนไม่ได้ให้โอกาสเราเลย เราต้องถอยเข้าและออกเพื่อมีกำลังใจในการลุกขึ้นมาทำใหม่ พิสูจน์ว่าผืนดินที่เราอยู่สามารถเลี้ยงดูเราได้ ลงมือทำ เรียนรู้ และแก้ปัญหา ช่วงแรกที่ทำตลาดออนไลน์ ทุกคนสงสัยว่าเราทำอะไรอยู่ เล่นขายของหรือ แต่ความกลัวกับการยอมแพ้ไม่ใช่คำตอบของเรา”





ปัจจุบัน เสาวนีย์ทำเรื่องกองทุนเมล็ดพันธุ์ยาไส้ยาใจมาได้ 5 ปีแล้ว ซึ่งทางกลุ่มประกาศความตั้งใจไว้ในทางสาธารณะ ว่า
“เมล็ดพันธุ์ในทุกซองจึงเป็นความตั้งใจและใส่ใจของกลุ่มที่จะสืบทอดอุดมการณ์และความตั้งใจในวิถีเกษตรกรรมยั่งยืนให้คงอยู่ เพราะเกษตรแบบอินทรีย์คือวิถีชีวิตที่ปรับตัวตามธรรมชาติที่หมุนเวียนเปลี่ยนสภาพ เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่จะกลายเป็นต้นและผลิตใหม่เป็นเมล็ดเพื่อเติบโตต่อไป การจัดเก็บเมล็ดพันธุ์จึงเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต เป็นงานดูแล้วเล็กแต่ยิ่งใหญ่สำหรับการพึ่งตนเองแบบยั่งยืนในวิถีเกษตรกรรม”
ในทางส่วนตัว เสาวนีย์เองก็ประกาศไว้ชัดเจนในงานมหกรรมพันธุกรรม 2568 เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมาว่า จากสิ่งที่ได้พยายามทำมา ทุกวันนี้สามารถยาไส้เธอได้แล้ว ทั้งยังยาใจในหลายรูปแบบ
“เรามีรายได้ทุกวันจากแปลงของเราเอง เรามีทรัพยากรที่ไม่ต้องดูแลทุกวัน แต่สร้างมูลค่าได้ มีสต็อกเมล็ดพันธุ์สำหรับการจำหน่ายและแบ่งปัน ทั้งฟื้นฟูจากภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ที่รู้สึกว่าสามารถช่วยพี่น้องทางสังคมได้ เมล็ดพันธุ์เป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่สามารถแบ่งปันให้ได้ทุกคน”
เสาวนีย์บอกเล่าฟันธงว่า “ความสำเร็จของเราในวันนี้ไม่ใช่การมีเงินมากขึ้น แต่เป็นการมีความสุขมากขึ้น ได้เจอผู้คน ได้แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ งานในวันนี้เป็นการบ่มเพาะให้เราได้เป็นเราในวันนี้ การมางานพันธุกรรมที่เรามาทุก ๆ ปี ไม่เพียงการมาออกบูธ พูดคุยกับพี่น้องอย่างเดียว เชื่อว่าเป็นการมาเติมกำลังใจแก่กัน เจอคนใหม่ ๆ ที่มีกำลังใจอยากกลับไปทำงานที่บ้าน กลับไปต่อสู้เหมือนที่เราเคยเจอ
“การกลับบ้านมาเจอทรัพยากรที่ดี เมล็ดพันธุ์ที่ดี ก็ได้เติมชีวิตจิตใจให้ฟู ยิ่งเห็นเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ก่อให้เกิดพืชพรรณธัญญาหาร ก่อความสุขมากมายให้เกิดขึ้น
“เมล็ดพันธุ์ช่วยเยียวยาเรา การเก็บเมล็ดพันธุ์และส่งต่อเป็นการเติมเต็มหัวใจจากการให้ และได้เห็นคนอื่นเติบโตไปกับเราด้วย กองทุนของเราเป็นกองทุนที่เก็บและปลูกในผืนดินเล็ก ๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมีคุณค่า แบ่งปันให้คนอื่นได้

สำหรับข้อสรุปที่เป็นแนวคิดหลักของเสาวนีย์แห่งกลุ่มยาไส้ยาใจก็คือ “เชื่อว่าเมล็ดพันธุ์เป็นของเราทุกคน และสามารถส่งต่อไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้”