
ทุกบ่ายวันศุกร์ บริเวณถนนอนุสาวรีย์พระนครศรีบริรักษ์ ริมบึงแก่นนคร เป็นเวลาและสถานที่ที่ “ตลาดเขียวขอนแก่น” หรือ “ขอนแก่นกรีนมาร์เก็ต” จะเปิดตัวขึ้นมา
เป็นเช่นนี้มาเป็นระยะเวลา 10 ปีแล้ว เนื่องจากตลาดเขียวขอนแก่นเริ่มเปิดตลาดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2557 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) เป็นพื้นที่ตลาดที่ให้โอกาสกับเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ได้นำผลผลิตมาขายเอง และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร 2) เพื่อให้คนในชุมชนเมืองได้เข้าถึงอาหารที่ปลอดภัย 3) เป็นพื้นที่สร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตกับผู้บริโภค
เติบโตต่อเนื่องตอบทุกเป้าหมาย
จากสมาชิกจำนวน 30-35 แผงค้าเมื่อแรกเริ่มก่อตั้ง ปัจจุบันตลาดเขียวขอนแก่นมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 83 แผงค้าแล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงสมาชิกจำนวน 83 ครัวเรือนที่มาจาก 12 กลุ่ม โดยแต่ละครอบครัวจะมีรายได้จากตลาดเขียว เฉลี่ย 2,000-5,000 บาทต่อครั้ง
วัตถุประสงค์หลักข้อแรกจึงบรรลุแล้วอย่างชัดเจน
ยิ่งกว่านั้น ตลาดเขียวยังเป็นแรงผลักให้เกิดการขยายตัวของพื้นที่การสร้างอาชีพแก่เกษตรกรในระบบเกษตรอินทรีย์และปลอดสารเคมีด้วย ซี่งทำได้มากกว่าร้อยครอบครัว โดยเป็นหนึ่งในแรงกระตุ้นให้เกิดเกษตรกรหน้าใหม่ๆ ทั้งที่อยู่ในวัยเกษียณ และคนรุ่นใหม่ที่กลับคืนถิ่นกำเนิดมาหางานทำ รวมทั้งคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาสานต่อกิจการของครอบครัวที่เป็นสมาชิกตลาดเขียวอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกัน ตลาดเขียวขอนแก่นก็สร้างทางเลือกสำหรับผู้อยู่อาศัยในชุมชนเมืองที่รักสุขภาพ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งอาหารที่ปลอดภัย ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์หลักข้อสองนั่นเอง
สำหรับสรรพสินค้าที่มีการจำหน่ายในตลาดเขียวขอนแก่น แน่นอนว่าหลักๆ ก็คือผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวมาจากเกษตรกรผู้ผลิตโดยตรง อาทิ ผัก ผลไม้ ไข่ไก่ ไข่เป็ด เนื้อสัตว์ เช่น ไก่บ้าน เป็ดพื้นบ้าน ปลาจากแม่น้ำชี เนื้อหมูอินทรีย์ที่เลี้ยงแบบไบโอไดนามิก นอกจากนั้นยังมีอาหารแปรรูปและงานหัตถกรรมชุมชน
ทั้งนี้ ตลาดเขียวขอนแก่นมีการแบ่งผู้ค้าออกเป็น 3 กลุ่ม และมีการใช้ผ้ากันเปื้อนเป็นสัญลักษณ์ ประกอบด้วย 1) กลุ่มวัตถุดิบอาหารอินทรีย์แท้ พ่อค้าแม่ค้ากลุ่มนี้จะใส่ผ้ากันเปื้อนสีเขียวขจี หรือเขียวสดใส 2) กลุ่มสินค้าเกษตรปลอดภัยที่ส่งเสริมโดยภาครัฐ ซึ่งมีการใช้ผลิตภัณฑ์เคมีบางชนิดได้ แต่ห้ามฉีดพ่น สำหรับสีผ้ากันเปื้อนที่ใช้ของกลุ่มนี้คือสีเหลือง 3) กลุ่มแปรรูปอาหารจากวัตถุดิบปลอดภัย สีของผ้ากันเปื้อนจะเป็นสีน้ำตาล
นอกเหนือจากการจำหน่ายสินค้าแล้ว ภายในตลาดยังมีสมาชิกที่คอยให้คำแนะนำและให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคเรื่องสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เรื่องสารเคมีปนเปื้อนในอาหาร ปัญหาสิ่งแวดล้อมในเมืองขอนแก่น เรื่องสิทธิบัตรยา สิทธิผู้บริโภค ฯลฯ นี่จึงเป็นไปตามวัตถุประสงค์หลักข้อสาม






ตั้งต้นจากโจทย์เรื่องพืชผักไม่ปลอดภัย
ท่ามกลางผลการสุ่มตรวจจากงานวิจัยที่พบสารปนเปื้อนในพืชผัก ทั้งที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไปและในห้างสรรพสินค้า ผนวกกับความต้องการของผู้บริโภคที่รักสุขภาพ แต่การจะหาซื้อผลผลิตที่ปลอดจากสารเคมีนั้นกลับไม่มีปรากฏแหล่งใด ๆ ในเมืองใหญ่อย่างขอนแก่น ทั้ง ๆ ที่เป็นเมืองใหญ่มีศักยภาพและถูกกำหนดให้เป็นเมืองศูนย์กลางของการพัฒนาภาคอีสาน ตลอดจนเป็นเมืองศูนย์กลางพื้นที่เศรษฐกิจภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS)
นั่นคือโจทย์ที่จุดประกายให้บุคลากรในองค์กรภาคประชาสังคม ได้แก่ เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายแรงงานนอกระบบ องค์กรผู้บริโภคขอนแก่น องค์กรชาวบ้านที่ทำเรื่องเกษตรจากพื้นที่น้ำพอง โกสุม เมืองพล และเขตรอบเมือง ได้ร่วมกันเป็นแกนนำขับเคลื่อน โดยร่วมมือกับอีกหลายภาคส่วน ช่วยกันสร้างพื้นที่อาหารปลอดภัย เป็นหนึ่งในมติสมัชชาสุขภาพจังหวัดขอนแก่นที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นในปีนั้นเช่นเดียวกัน
และนั่นเองก็คือจุดเริ่มต้นการก่อกำเนิด “ตลาดเขียวขอนแก่น” ด้วยสมาชิกเริ่มต้นจำนวน 30-35 แผงค้าที่มาจากกลุ่มเกษตรกรในระบบเกษตรอินทรีย์และระบบเกษตรที่ปลอดภัยจากสารเคมี (GMP) รวมทั้งกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ผลิตงานฝีมือหรือแปรรูปสินค้าโอทอป
เริ่มดำเนินงานด้วยระบบจิตอาสา
การบริหารงานตลาดเขียวขอนแก่นอยู่ภายใต้การทำงานในรูปแบบคณะกรรมการมาตั้งแต่ต้น ซึ่งทุกคนคืออาสาสมัคร เข้ามาทำงานด้วยจิตอาสาโดยไม่มีค่าตอบแทน เนื่องจากไม่ได้มีการจัดทำโครงการขอทุนเพื่อมาสนับสนุนการทำงานของตลาดเขียว
จงกล พารา หนึ่งในผู้บุกเบิกตลาดเขียวขอนแก่น เธอผันตัวเองจากนักพัฒนาชุมชนที่เติบโตมากับสายงานคุ้มครองผู้บริโภค ออกมาเป็นเกษตรกรสายเกษตรอินทรีย์ เผยว่า ช่วงสองปีแรก ต้องใช้เงินส่วนตัวเป็นค่าใช้จ่ายลงพื้นที่ตรวจแปลงของเกษตรกรที่สมัครเข้าร่วม ทั้งนี้เพื่อดูกระบวนการผลิตว่าเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่กำหนดกันเองโดยประยุกต์จากฐานของมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (Organic Thailand) แต่เธอก็ไม่คิดที่จะเขียนโครงการขอทุน เนื่องจากโครงการมักให้ทุนสนับสนุนเฉพาะตัวกิจกรรม แต่ไม่มีงบสนับสนุนคนทำงาน
กระทั่งเข้าสู่ปีที่ 2 จึงเริ่มเก็บเงินค่าสมาชิกรายปี ปีละ 100 บาท และค่าแผงค้าแผงละ 10 บาท ซึ่งปัจจุบันปรับเพิ่มค่าสมาชิกเป็น 200 บาท และค่าแผงเป็น 20 บาท
“เงินส่วนนี้ใช้จ่ายเป็นค่าอาหารและการลงพื้นที่ตรวจแปลงของทีมงาน เพิ่งมาในช่วง 1-2 ปีหลังนี้ที่ตลาดได้รับงบประมาณสนับสนุนจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการที่เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อระบบการผลิตของเกษตรกร” จงกลบอกเล่า และยอมรับว่า ณ วันนี้เริ่มคิดเรื่องการหาแหล่งทุนเพื่อสนับสนุนตลาดเขียวบ้างแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องของอนาคต
ฝ่าอุปสรรคนานัปการ
จงกลเล่าอีกว่า กว่าตลาดเขียวจะเติบโตเป็นที่รู้จักของชาวเมืองขอนแก่นเหมือนเช่นทุกวันนี้ ต้องพบกับอุปสรรคมาอย่างต่อเนื่อง
เริ่มตั้งแต่ต้องใช้เวลาถึง 6-7 เดือนในการพูดคุยเตรียมการก่อนเปิดตลาด ต้องมีการปรับความคิดที่ต่างกันระหว่างนักพัฒนาสังคมกับข้าราชการ โดยต้องแก้ปัญหาด้วยการลงพื้นที่ดูงานที่ตลาดเขียวสุรินทร์ อันเป็นตลาดสีเขียวแห่งแรกของภาคอีสาน
“แค่คำว่าเกษตรอินทรีย์ก็ไม่ตรงกันแล้ว ก็เลยพาไปดูงาน มาคุยกัน เอาพี่จากฉะเชิงเทรามาพูดเรื่องมาตรฐานให้ฟัง มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืนฯ ให้งบไปดูงานที่สุรินทร์ เขาก็ส่งสายอาหารปลอดภัยไปดูงานกับเรา เกิดตั้งแต่ 6 เดือนแรกเลย ส่วนของเทศบาลจะรับไฮโดรโปนิกส์เข้ามา เราบอกไม่ได้นะ ไฮโดรฯ ใช้ปุ๋ยเคมีที่อันตราย เราจะบอกกับเขาตรง ๆ แบบนั้นก็ไม่ได้ ก็เอาผู้เชี่ยวชาญและผู้รู้มาพูด”
ครั้นพอตลาดเปิดแล้ว สถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นก็ไม่ดีนัก
ในยุคสมัยนั้น สถานะของตลาดเขียวในความรับรู้ทั่วไปถือเป็นตลาดทางเลือกของคนรักสุขภาพ ซึ่งตลาดเขียวขอนแก่นตั้งอยู่ภายในบริเวณสวนสาธารณะบึงแก่นนคร จุดศูนย์รวมของผู้รักสุขภาพที่เข้ามาใช้บริการเพื่อออกกำลังกาย แต่ช่วงครึ่งปีแรก การค้าขายในตลาดเขียวถือว่าห่างไกลคำว่าคึกคัก
“แรกๆ ชาวบ้านขายเหมือนธรรมดาทั่วไป ขายไม่หมด ต้องแลกกันทุกสัปดาห์ ประมาณวันพุธต้องโทรไปบอกว่า มาช่วยๆ กันก่อน คือไม่มีค่าเดินทางให้ชาวบ้าน เพราะตลาดเขียวที่อื่น องค์กรพัฒนาเอกชนจะมีงบสนับสนุน อย่างน้อยค่าเดินทาง แต่ที่นี่ไม่มี”
แก้ปัญหาด้วยการพาผู้บริโภคเยี่ยมชมแปลง
จนกระทั่งมีการจัดกิจกรรมพาผู้บริโภคในเมืองประมาณ 30 คน ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนแปลงเกษตรกร เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ต่อมาผู้บริโภคกลุ่มนี้จึงกลายเป็นกระบอกเสียงให้กับตลาดเขียวบอกต่อกันปากต่อปาก นับแต่วันนั้นมา ตลาดเขียวจึงเริ่มเป็นแหล่งสร้างรายได้หลักให้แก่สมาชิก
“พอครบ 1 ปีก็พาผู้บริโภคในเมืองไปเยี่ยมแปลงผู้ผลิต เพราะตอนแรกผู้บริโภคไม่เชื่อมั่น ว่าปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีจะได้ผลผลิต เราก็พาเขาไปประมาณ 3 รถตู้ รวม 30 คน ได้งบจากเทศบาลเป็นค่าเดินทาง พาไปกินข้าวกลางวันที่แปลงชาวบ้าน ไปดูแปลงจริง ๆ ที่ชาวบ้านผลิต พูดคุยกับเกษตรกร พอกลับมา กลุ่มคนเหล่านี้ก็เป็นกระบอกเสียงช่วยเรา ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มมีขาประจำ บอกต่อกันไปเรื่อย ๆ เขาซื้อผักไปเก็บได้นานกว่าผักที่ซื้อจากตลาดทั่วไป รู้สึกมีความเชื่อมั่น”
การจะสร้างคน ที่มาในรูปแบบคณะกรรมการให้มีความเหนียวแน่นและเข้มแข็งได้นั้น ผู้บุกเบิกตลาดเขียวขอนแก่นมองว่า เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ส่งผลต่อการทำงานของตลาดเขียว กว่าคณะกรรมการจะเริ่มเป็นปึกแผ่น มีองค์ความรู้ลงพื้นที่ตรวจแปลง และอบรมเรื่องการตรวจแปลงให้กับบุคลากรที่จะมาเป็นกำลังหลักช่วยตลาดเขียวได้ ภาพเหล่านี้เริ่มปรากฏชัดขึ้นในปีที่ 5
แต่แล้วก็เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งนับเป็นวิกฤติครั้งใหญ่สุดของตลาดเขียวขอนแก่น แม้ตลาดไม่ได้ถูกปิดก็ตาม






ผ่านสถานการณ์โควิดโดยไม่ต้องปิดตลาด
จงกลเล่าถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิดว่า “ช่วงล็อกดาวน์ 3-4 เดือน ผู้บริโภคลดลงครึ่งต่อครึ่ง เกษตรกรจาก 60 รายหายไป 20 ราย เพราะกลัวว่าจะติดเชื้อ รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรค ทำให้คนใช้จ่ายน้อยลง”
ส่วนเหตุผลที่ตลาดเขียวไม่ถูกสั่งปิดนั้น จงกลอธิบายว่ามาจากความสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงานราชการ และมีระบบป้องกันเพื่อตั้งรับสถานการณ์
“คุยได้เลยว่า ตลาดเขียวเราไม่ถูกปิด กรรมการจะคุยกันทุกสัปดาห์ว่าจะตั้งรับยังไง อย่างเพื่อนมหาสารคามก็โดนปิดไปเดือนนึง เชียงใหม่ก็โดน ขอนแก่นเรามีพัฒนาการที่ดีที่ไม่โดนคือความสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยงานราชการ และมีระบบป้องกัน ตั้งรับ มีฝ่ายคัดกรอง ประสานอาสาสมัครชุมชนที่ตลาดเขียวตั้งอยู่ให้มาช่วยคัดกรอง และอีกคนใช้งบตลาดเขียวจ้างเป็นรายวัน วันละ 300 บาท ให้คนไร้บ้านที่เขามีศักยภาพมาช่วยคัดกรองด้านหน้ากับด้านหลัง”
ประกอบกับในช่วงนั้น ทางมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) ร่วมกับเครือข่ายสวนผักคนเมืองมีโครงการรับซื้อผลผลิตจากสมาชิกตลาดเขียว เพื่อนำไปกระจายแจกจ่ายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางใน 9 ชุมชนแออัดริมทางรถไฟ กลุ่มคนไร้บ้าน และมูลนิธิช่วยเหลือเด็ก
ดังนั้นผักของตลาดเขียวขอนแก่นได้ถูกลำเลียงส่งต่อให้กับกลุ่มเปราะบางเป็นเวลานานถึง 3 เดือน พร้อมกับการปรับตัวของสมาชิกตลาดเขียวด้วยการสร้างกลุ่มไลน์ เพื่อให้ผู้บริโภคที่สนใจสามารถสั่งผักกล่องผ่านไลน์ ก่อนขยับมาทำเพจเป็นอีกหนึ่งช่องทาง
วิกฤตทำให้เกิดการแบ่งปัน
“เราเอาผักของตลาดเขียวไปช่วยเครือข่ายสลัม 4 ภาค ซึ่ง 9 ชุมชนริมทางรถไฟได้งบจากสวนผักคนเมืองที่เขาไประดมมาจากกรุงเทพฯ บริจาคมาซื้อผัก ตอนนั้นประมาณ 3 เดือน สัปดาห์ละ 600-700 กิโลกรัม หลังจากนั้นก็คลี่คลาย คนริมทางรถไฟเริ่มมีงานทำ ก่อนนั้นไม่มีคนจ้างงานเลย” จงกลเล่า
จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เปิดโอกาสให้ชาวชุมชนตลาดเขียวขอนแก่นร่วมกันสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน หลังจากสถานการณ์วิกฤตผ่านไปแล้ว หากแต่วัฒนธรรมการแบ่งปันยังดำเนินต่อมา
ทุกวันนี้ ตลาดเขียวขอนแก่นมีการเปิดรับบริจาคผลผลิตที่เหลือของสมาชิกเพื่อส่งต่อให้กับบ้านลูกรัก จ.ขอนแก่น หรือมูลนิธิช่วยเหลือเด็ก เป็นประจำทุกวันที่มีตลาด
จงกลเล่าว่า กิจกรรมนี้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากทางมูลนิธิประสบปัญหายอดบริจาคลดลง
“ปีนั้น (สถานการณ์โควิด-19) ยอดบริจาคของเขาคือไม่มีคนบริจาค ลดฮวบฮาบ ไม่มีงบแม้แต่จะจ้างเจ้าหน้าที่ เราก็ช่วยทุกมื้อ เพราะเรื่องอาหาร ความมั่นคงทางอาหารควรจะต้องมี ผักของเกษตรกรปกติก็ขายไม่หมด เหลือคนละ 4-5 กำก็เอามาบริจาครวมประมาณเต็มรถเข็น และบ้านลูกรักที่มีเด็ก 50 คน เขากินอาหารมังสวิรัติ พอเขาได้ผักปลอดสารมันก็จะดี”
การเติบโตต่อไปบนความเอื้ออาทร
จนถึงปัจจุบัน กล่าวได้ว่า ตลาดเขียวขอนแก่นได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทุกวันนี้มีผู้มาเดินตลาดศุกร์ละประมาณ 700-1,200 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ คนที่มาออกกำลังกายรอบ ๆ บึงแก่นนคร กลุ่มแม่บ้าน รวมถึงกลุ่มผู้ป่วย
นอกจากการเปิดตลาดเป็นประจำทุกสัปดาห์ ปัจจุบันยังมีร้านชำออร์แกนิกขอนแก่นที่เปิดให้บริการทุกวัน ทำให้รองรับความต้องการของผู้บริโภคที่อยากอุดหนุนสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้มากขึ้น
บทบาทของร้านชำออแกนิกส์คือเป็นจุดกระจายสินค้า ซึ่งรวบรวมสินค้าและผลผลิตของกลุ่มตลาดเขียวขอนแก่น โดยเฉพาะผัก อาหารแปรรูป รวมทั้งผลผลิตจากเครือข่ายผู้ผลิตอินทรีย์อื่นๆ เช่น อาหารทะเลจากกลุ่มประมงพื้นบ้าน ผลไม้ ทั้งยังเป็นพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมร่วมกับผู้บริโภคอีกด้วย
ตั้งแต่แรกตั้งตลาดแห่งนี้ ผู้ก่อตั้งทั้งหลายเคยมีการลงมติกันว่า จะผลักดันให้เป็นตลาดนัดสินค้าเกษตรอินทรีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ในอนาคต โดยที่มีการกำหนดกรอบเวลาไว้ด้วยว่าจะทำให้ได้ใน 5 ปี อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิด-19 มีส่วนทำให้ข้อกำหนดดังกล่าวต้องสะดุดหยุดลง หากแต่เป้าหมายนี้ก็ยังคงอยู่ ซึ่งกลุ่มผ้ากันเปื้อนสีเหลืองคือกลุ่มที่จะต้องพัฒนาให้สินค้าของตนเป็นสินค้าอินทรีย์ให้ได้ในระยะต่อไป
เส้นทางต่อไปของตลาดเขียวขอนแก่นจึงจะยังคงเดินไปด้วยความปรารถนาดีและเอื้ออาทรดังเช่นที่เคยเป็นมา





